“Trekking in the NEPAL HIMALAYA”
ตอนที่ 7 : ” เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ที่ Phortse Thanga”
เช้าวันที่ 5 เราตื่นมาท่ามกลางอากาศสดใส ท้องฟ้าไร้เมฆหมอก ถึงแม้รอบๆ หมู่บ้านจะมีหิมะเกาะอยู่โดยรอบก็ตาม แต่ด้วยแดดที่สดใสแบบนี้ก็ทำให้เราอบอุ่นได้ไม่น้อย เราต่างแยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตา ทำอาหารเช้าและทำอาหารกลางวันเผื่อไว้ด้วยเลยทีเดียว หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อย เราต่างเก็บของในส่วนของตัวเองลงเป้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กระเป๋าของเราดูมีที่กว้างขวางขึ้นด้วยมาจากที่เราแบ่งของบางส่วนออกไปฝากโรงแรมเก็บไว้ และเมื่อยกกระเป๋าขึ้นไหล่อีกครั้ง น้ำหนักกระเป๋าในวันนี้ น่าจะทำให้เราเดินสบายขึ้นกว่าวันแรกๆ พอควร
8 โมงเช้า เราค่อยๆ เดินขึ้นบรรไดไปทีล่ะขั้นเพื่อขึ้นสู่เส้นทางของวันนี้ พี่ปั้นยังคงหันมาถามเป็นระยะถึงอาการว่าเป็นยังไง เรายิ้มให้พร้อมทั้งบอกให้พี่ปั้นสบายใจว่า “วันนี้โอเคมากเลย” เมื่อได้คำตอบที่พอใจ พี่ปั้นจึงหันกลับไปเดินต่อ เราผ่านพ้นบ้านของชาวบ้านมาหลังแล้วหลังเล่า จนตอนนี้เริ่มจะเข้าสู่เส้นทางแล้ว
พี่ปั้นก็บังเอิญได้เจอกับ “เจสซี่” ฝรั่งตัวสูง ยิ้มสวยจาก USA ที่เมื่อวันก่อนได้เจอกันตอนพี่ปั้นไปถ่ายวิวบนยอดเขาใกล้ๆหมู่บ้าน และเจสซี่คงเห็นถึงความพยายามถ่ายรูปตัวเองกับเอเวอเรสด้านหลังอย่างลำบากลำบน จึงเข้ามาอาสาถ่ายรูปให้ นั่นจึงเป็นที่มาของรูปพี่ปั้นกับเอเวอเรสที่ได้เห็นแบบเต็มตัว และเช้าวันนี้ ก็ได้บังเอิญเจอกันตอนจะพ้นหมู่บ้าน
ระหว่างที่เดินออกจากหมู่บ้านมาไม่ไกล เราก็เจอกับ “TENZING NORGAY and the SHERPAS of EVEREST” หรือ เจดีย์อนุสรณ์ครบรอบ 50th Anniversary 1953-2003 อนุสรณ์ที่เชิดชู TENZING NORGAY SHERPAS ชาวเผ่า SHERPAS คนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสได้สำเร็จ ไกร์ของเจสแนะนำให้เรานั่งพักที่บริเวณนี้สักครู่เพื่อได้รู้เรื่องราวของเจดีย์ เรานั่งพักและต่างแนะนำตัวกันสั้นๆ เจสซี่ชอบถ่ายรูป โดยก้มหน้าก้มตาทำงานที่อเมริกาเพียง 6 เดือน ส่วนอีก 6 เดือนที่เหลือก็จะเดินทางไปที่ต่างๆ ตามแต่ใจอยากจะไป เค้าบอกเราว่าก่อนหน้านี้ เค้าไปทิ้งตัวอยู่ที่อินเดียถึง 3 เดือน ซึ่งเราก็สุดจะคาดเดาว่าในอินเดียมีอะไรให้เจสติดใจอยู่ถึง 90 วันเต็มๆ
เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพี่ปั้นกับเจสมากกว่าที่คุยกันแบบออกรสออกชาติไม่หยุด ยิ่งคุย ยิ่งสนุก ยิ่งเดินเร็วแบบที่ทั้ง 2 คนไม่รู้ ส่วนเราคนเดินตามก็ได้แต่จ้ำๆ เพื่อให้ทันฝรั่งขายาวที่เดินไม่หยุด
ในกรุ๊ปของเจสซี่มี คุณลุงกับคุณป้า ที่อายุพอๆ กับพ่อแม่เรา จากออสเตรเลีย และ เจน สาวสวยหมวกแดง ที่ดูจากกล้ามแขนและร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเทอต้องรักการออกกำลังกายอย่างมาก และนั่นคงเป็นเหตุผล ที่ทำให้เจนเดินแบบสบายอารมณ์และไร้อาการเหนื่อยตลอดทาง ในส่วนของไกร์ที่นำทีมเจสมา ก็กลายเป็นเพื่อนคุยระหว่างทางของเราไปโดยปริยาย ในช่วงเวลานั้นที่ทุกอย่างดูดีและลงตัว เราแอบดีใจเงียบๆ คนเดียว ที่ตัวเองเหมือนจะหายดีแล้ว แถมยังได้เพื่อนร่วมทางน่ารักๆ เพิ่มขึ้นไปอีก
เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ กว่า 2 ชั่วโมง ก็มาหยุดพักที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อแวะดื่มน้ำและทานอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย เจสเลือกนั่งตรงจุดที่เห็นภูเขาได้ตลอดเวลา แต่บริเวณนั้นมีทัวย์กรุ๊ปใหญ่นั่งอยู่ เราจึงขอแยกตัวเดินมาอีกหน่อย ต่ายขอพี่ปั้นซื้อน้ำอัดลมที่ปกติไม่เคยกินเมื่ออยู่เมืองไทย แต่ตอนนี้ ในที่ไกลแบบนี้กลับอยากจะดื่มขึ้นมาซ่ะแบบนั้น พี่ปั้นเดินไปซื้อมาให้ในราคา 150 รูปี หรือ ประมาณ 50 บาท เป็นราคาที่เราต้องทำใจยอมรับอีกเช่นเคย เรานั่งพักกว่า 15 นาที ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยที่เจสซี่ก็เดินออกมาเจอกันพอดี เป็นอันว่า เรายังคงได้เดินร่วมทางไปกับแก๊งนี้อีกครั้ง
เมื่อพ้นจากจุดที่เราหยุดพัก ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ โดยบางช่วงจะเป็นบรรไดหินลื่นๆ ชันดิ่งขึ้นยอดเขา สลับกับทางเดินแคบๆ เรียบสันเขาที่อีกด้านเป็นเหวลึก ทางที่อาจทำร้ายหัวใจของคนกลัวความสูงได้เป็นอย่างดี ยาวเหยียดกว่า 2 กิโล
ถึงแม้ทางเดินเรียบสันเขาจะไม่ได้ชันดิ่งเท่าบรรได แต่ด้วยทางที่เป็นทางขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เรียกเหงื่อและเสียงหอบจากเราได้มากโข กรุ๊ปของเจสซี่เริ่มเดินทิ้งห่างเราไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะเราเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักของกระป๋าและอากาศที่เบาบางลงเรื่อยๆ ขาของเราจึงสั่งให้เดินช้าลงเองโดยอัตโนมัติ เราเลิกเร่งฝีเท้าตามเจสซี่ และปล่อยให้เค้าเดินนำเราไปกว่า 10 นาที
เราจดจ้องกับสันเขาข้างๆ ที่เป็นเหวทอดตัวยาวเหยียดจนกว่าจะถึงพื้น สำหรับคนที่เคยกลัวความสูงมากๆ อย่างเรา 2 คนมาก่อน บางครั้งก็แอบใจแว๊บๆ บ้างในบางช่วงที่ทางแคบมากๆ และในบางครั้งที่เราหยุดนั่งพักและหันหลังพิงฝั่งเขาแล้วหันหน้าออกไปทางเหว และด้วยระยะทางที่ยาวบนเส้นทางแคบๆ สายนี้ เราจึงมักเจอกับฝูงจามรีบ่อยครั้ง ในแต่ล่ะครั้งเราต้องเดินเร็วเพื่อหาจุดที่กว้างพอจะหลบเจ้า Yak พวกนี้ได้
หรือบางครั้งเดินๆอยู่ ก็จะได้ยินเสียงตะโกนเรียกเจ้า Yak แสนดื้อบางตัวที่เดินแตกแถวไปหาต้นไม้เล็กๆ ตามริมหน้าผากินอย่างไม่สนใจเส้นทาง
เราเดินต่อไปร่วม 2 ชั่วโมงก็เห็นจุดพักต่อไปของเราที่ MONGLA แต่ในตอนนี้ เรารู้สึกเหมือนเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที น้ำหนักกระเป๋า เริ่มมีบทบาทสำคัญกับเราอีกครั้ง
เราเดินๆ หยุดๆ มาสักพักก็มาถึงจุดหมายที่หมู่บ้าน MONGLA ที่ความสูง 3973 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราปลดเป้ออกจากไหล่ด้วยความรวดเร็ว และพุ่งตรงไปหาเจสซี่ ที่มาถึงก่อนเราประมาณ 15 นาที
กรุ๊ปของเจสซี่จะแวะทานอาหารกลางวันที่จุดนี้ แต่สำหรับเรา เราสั่งเพียงช็อกโกแลตร้อนมาดื่มคนล่ะแก้วเท่านั้น เพราะเราทานข้าวมาแล้วจากจุดพักแรก เมื่อเราดื่มช็อกโกแลตร้อนหมดแก้ว และเติมน้ำจนเต็มขวด ก็ถามทางกับทางไกร์ของเจสซี่เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เจสท้วงว่าทำไมเราไม่ทานข้าวก่อนแล้วออกเดินไปพร้อมกัน แต่เราก็บอกเจสไปตามตรงว่าเราเดินช้ามาก ไม่อยากไปถ่วงเวลาเค้า และเราก็ทานข้าวมาแล้วจากจุดพักที่แล้ว เจสเข้าใจและบอกว่าไว้เจอกันที่จุดหมายวันนี้ ไกร์บอกเราว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นทางลงเพียงอย่างเดียว ประมาณชั่วโมงเศษๆ เราก็จะถึงที่ PHORTSE THANGA
เรามองกระเป๋าของเราแล้วให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเหวี่ยงมันขึ้นหลังอีกครั้งอย่างชำนาญ ก่อนออกเดินเราดันไปเห็นป้าย MONGLA SNOWLAND นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ไปเราต้องเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้นเพราะจะมีหิมะที่ค้างคามานับเดือนนับปีตลอดทางเดิน เราค่อยๆ เดินลงเขามาเรื่อยๆ ยิ่งลงมากเท่าไหร่ เราก็นึกถึงขากลับมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งลงมาก ก็ต้องขึ้นมากตามไปด้วย และการลงดิ่งกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ นั่นเป็นภาระใหญ่หลวงเวลากลับของเราแน่นอน
เราเดินคุยกันมาเรื่อยๆ พร้อมทั้งแวะเอาไม้เท้าจิ้มหิมะเล่นกันตลอดทาง การเดินทางวันนี้ไม่โหดร้ายมากนัก ถึงแม้อากาศจะหนาว แต่เมื่อเราเดินร่างกายก็จะอุ่นขึ้นเอง
เราเดินมาหนึ่งชั่วโมงก็ถึง PHORTSE THANGA เพื่อความแน่ใจ เราจึงถามสาวน้อยแก้มแดงคนหนึ่งว่าที่นี่ใช่ PHORTSE THANGA รึเปล่า สาวน้อยตอบเสียงใสว่าใช่แล้ว และถามต่อว่าเราจะไปไหน เมื่อรู้ว่าเราจะไป DOLE เทอก็บอกให้เราพักที่นี่ เพราะทางไป DOLE นั้นคือทางแยกข้างๆ โรงแรมนั่นเอง
เรานั่งดื่มน้ำมะนาวอุ่นๆ เพื่อตัดสินใจว่าเราจะพักที่ไหน เพราะด้านหน้าเราก็มีป้ายบอกทางไปโซนโรงแรมอีกที่ ที่ต้องเดินไปอีก 2-300 เมตร และเมื่ออ่านในหนังสือก็แนะนำว่าโรงแรมด้านล่างนั้นดีกว่าและวิวสวยกว่า แต่สำหรับเราแล้วโรงแรมที่นี่เกือบตลอดเส้นทาง แทบจะไม่ต่างกัน
เราจึงตัดสินใจพักที่โรงแรมแรกที่เราเจอในราคา 200 รูปี/คืน เจ้าของโรงแรมพาเราขึ้นไปที่ห้องพัก และเทอเลือกห้องที่โดนแดดมาตลอดวันให้เรา ซึ่งแน่นอนว่าแสงแดดทำให้ห้องนั้นอุ่นกว่าข้างนอกมากโข เราจัดการวางกระเป๋า แขวนที่กรองน้ำ และออกมานั่งรอเจสซี่ที่ทางแยก สักพักเจสซี่ก็เดินมาถึง โดยมีไกร์แอบบ่นกับเราว่า จิงๆ เค้าต้องการให้ลูกทัวย์เดินไป DOLE ที่เป็นจุดหมายต่อไปในวันนี้เลย แต่เพราะคุณลุงในกรุ๊ปปวดเข่า เค้าจึงต้องให้หยุดพักที่นี่ก่อน เราพูดคุยนัดหมายเวลากันว่าจะเจอกันที่ตรงนี้ประมาณ 7:30 เช้า แล้วออกเดินไปพร้อมกัน จากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปพัก
ด้วยความที่เรามาถึงตั้งแต่บ่าย 2 เราจึงมีเวลาว่างมากมายในช่วงบ่าย เราออกมาเล่นกับเด็กน้อยทั้ง 2 สักพักก็ต้องกลับเข้าโรงแรมพราะหนาวและลมแรงมาก
เราเข้ามาสั่งอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สุดท้ายเราก็ต้องไปหยิบผ้าบนห้องพักมาห่มเพิ่มเพราะในห้องอาหารก็หนาวมากเช่นกัน เรารออาหารประมาณชั่วโมงกว่าๆ แต่ก็ชินแล้วพราะเป็นเวลาปกติเวลาสั่งอาหารขอที่นี่ มันไม่ใช่เค้าช้า แต่ด้วยออกซิเจนในอากาศน้อยจากระดับความสูง ทำให้ต้องใช้เวลาทำน้ำให้เดือนนานกว่าเดิมถึง 3-4 เท่า จึงทำให้การทำอาหารเป็นไปด้วยความเชื่องช้าแบบนี้ทุกครั้ง เราต่างคนต่างทานอาหารของตัวเอง ต่ายเริ่มทานอาหารไม่ลงอีกครั้ง และอาการเดิมๆ เริ่มแสดงมาให้เห็น เราหันไปบอกพี่ปั้น และรีบกินอาหารที่เหลือเพื่อกลับเข้าห้องไปพัก
เราใช้เวลาเล็กน้อยในการเช็ดเนื้อเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นบทสนทนาของเราก็ต้องผ่านถุงนอนที่คลุมทั้งตัวและหัวอยู่เกือบมิด ต่ายเริ่มปวดหัว และคลื่นไส้ อาการวิตกกังวลกลับมาอีกครั้ง
พี่ปั้นพยายามชวนคุยด้วยการให้ดูรูปตลอดทริปที่ผ่านมาว่ามันสวยงามขนาดไหน และกางแผนที่ให้ดูว่าเรามาไกลเพียงใด และเหลือเส้นทางอีกไกลแค่ไหน เมื่อเห็นแผนที่และระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บอกตรงๆ เลยว่ามันทำให้ต่ายกังวลมากจิงๆ กลัวจะไปไม่ถึง กลัวจะทำให้พี่ปั้นต้องหันหลังกลับ กลัวไม่ได้ภาพดีๆ ไปทำรายการ พี่ปั้นคงมองออก เค้าเข้ามากอดและให้กำลังใจว่าไม่ต้องกังวล เราต้องทำได้ น่าแปลกที่ความกังวลทั้งหมดก่อนหน้านี้ ถูกทำลายไปหมดในพริบตา นั่นซิน่ะ เราจะกังวลทำไมกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เอาพรุ่งนี้มาทำร้ายวันนี้ไปก็เท่านั้น เมื่อคิดได้แบบนั้น ก็รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายขึ้นมาก ตอนนี้เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว เราแยกย้ายกันเข้านอน พรุ่งนี้แล้วซิน่ะที่ต้องอยู่ในระดับความสูงเกิน 4,000 คราวนี้จะได้รู้กันล่ะ ว่าใครจะชนะ นอนคิดไปเรื่อยๆ จนผลอยหลับไปในที่สุด พรุ่งนี้พบกันน่ะ “DOLE”