“Trekking in the NEPAL HIMALAYA”
ตอนที่ 8 : “ DOLE ถึงเวลาที่ต้องเลือก”
ตี 5 เราเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเกือบจะพร้อมกัน เมื่อคืนเรานอนไม่ค่อยหลับด้วยหลากหลายเหตุผล ตลอดเส้นทางที่เราเดินทางมากว่า 7 วันที่ผ่านมา เรานอนหัวค่ำและตื่นเช้ามากแบบนี้ทุกวัน และกิจวัตรต่อจากนั้นก็ดูจะคล้ายๆ กันทุกวันเช่นกัน ตื่นนอน ล้างหน้าล้างตา ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ทำอาหารเช้า แพคอาหารกลางวัน แต่งตัว เก็บของ จ่ายเงิน และออกเดิน แบบนี้เกือบทุกวัน จนเราเริ่มจะเคยชินกับมันเสียแล้ว แต่สิ่งที่เริ่มกวนใจเราเรื่อยๆ นั่นคืออาการ “คิดถึงบ้าน” ที่เราเชื่อได้ว่านักเดินทางแทบจะทุกคนจะพบกับช่วงเวลานี้กันทั้งนั้น
ในขณะที่เราถือแก้วช็อกโกแลตร้อนไว้ในมือ เราเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างหัวนอนออก แดดอุ่นๆ กำลังเดินทางใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เราเลือกที่นั่งริมหน้าต่างหัวเตียง ที่มีพื้นที่มากพอให้เรานั่งชันเข่ามองภูเขาสวยๆนอกหน้าต่างได้อย่างสบายๆ ช่วงเวลาที่ความเงียบวิ่งเล่นกันจนน่าหงุดหงิด เราจิบเครื่องดื่มในมือแกล้มกับวิวภูเขาหิมะด้านนอก โดยไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ แต่เราต่างก็พอจะเดาออก ว่าอีกคนกำลังคิดอะไร
เมื่อความเงียบวิ่งอยู่รอบตัวเราพักใหญ่ พี่ปั้นเปิดบทสนทนาขึ้นมาว่า “กะต่าย วันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง ไหวใช่มั้ย?” คำตอบคงเดาได้ไม่ยาก “วันนี้เหรอ ก็โอเคน่ะ แค่นอนหลับๆ ตื่นๆ เฉยๆ แต่โดยรวมแล้วสดชื่นมากเลยล่ะ” พี่ปั้นยิ้มพอใจ และชวนเก็บของเพื่อเตรียมตัวลงไปรอเจสซี่ข้างล่าง
7 โมงเช้า เราวางกระเป๋าใบโตของเราที่ม้านั่งริมทางเดิน และออกไปถ่ายรูปเล่นของเราตามปกติ เราอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ดูเหมือนจะถึงเวลาที่เรานัดเจสซี่ไว้แต่เราก็ยังไม่เห็นเค้า จิงๆแล้วเราไม่เห็นนักเดินทางคนอื่นเดินผ่านเราไปสักคนเดียวเลยด้วยซ้ำ และคนที่พักโรงแรมเดียวกับเราก็มีเพียงนักเดินทางที่เพิ่งกลับลงมาจากยอดเท่านั้น สำหรับคนที่กำลังจะเดินขึ้นอย่างเรา นอกจากเรา 2 คนก็ไม่มีคนอื่นอีก จิงซิน่ะ! ไกล์ทุกคนเลือกจะไปพักโรงแรมถัดไปทั้งนั้น ยิ่งอยู่เฉยๆ นานๆ ร่างกายเราก็ยิ่งหนาว เราจึงตัดสินใจออกเดินกันเพียง 2 คน และแอบคิดเข้าข้างตัวเองในใจว่าเราอาจจะได้เจอเจสซี่กลางทางเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เมื่อเราเดินออกมาได้สักพัก เราถึงเข้าใจว่าทำไมไม่มีใครเดินผ่านโรงแรมที่เราพักเพื่อไป DOLE นั่นเพราะมีทางเล็กๆ ที่ลูกหาบทำไว้เพื่อเป็นทางลัดตัดขึ้นมาสู่เส้นทางไป DOLE โดยไม่ต้องย้อนไปขึ้นทางโรงแรมที่เราพัก และนั่นคงหมายความว่ากรุ๊ปของเจสซี่คงเดินนำเราไปไกลแล้ว และนี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่เหลือเราแค่ 2 คนบนเส้นทางนี้
เราเดินคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กันมาเรื่อยๆ และจากที่เราศึกษามา วันนี้จะเป็นอีกวันที่เดินยากและเหนื่อยที่สุดอีกวันนึงของเรา ระยะทางไม่ไกลมากก็จิง แต่ความชันก็ไม่เป็นสองรองใคร ถึงเรากำหนดไว้ว่าเราจะขยับความสูงไม่เกิน 300 เมตร/วัน ก็ตาม แต่ระหว่างทางก็จะมีจุดที่สูงกว่าที่เราตั้งไว้แล้วค่อยไต่ลงมาที่ต่ำอีกที วนไปวนมา สำหรับวันนี้ พี่ปั้นดูอาการไม่ค่อยดี และบ่นตลอดทางว่ากระเป๋าหนัก
ระดับความสูงที่อยู่เหนือน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกทีๆ ทำให้เราเหนื่อยง่ายกว่าเดิมมาก ในขณะที่เราเคยมั่นใจมาตลอดว่าเราแข็งแรง และออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ แต่ในเวลานี้ เราดูเหมือนคนอ่อนแรง ที่เดินเพียง 10 ก้าวก็ต้องหยุดพัก ในบางจุด เราหอบจนตัวโยน และแทบจะหมดแรง เราต่างก็แปลกใจว่าทำไมเราถึงดูอ่อนแรงขนาดนี้
เรานึกย้อนไปเมื่อคืนที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะเราพักผ่อนได้ไม่เต็มที่จากอาการหลับๆ ตื่นๆ และอีกสิ่งที่เราทำผิดอย่างมหันต์ คือเราไม่ทานอาหารเช้า เราเลือกที่จะดื่มช็อกโกแลตร้อนคนล่ะแก้วเท่านั้น และไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย สำหรับต่าย เพราะอาการแพ้ที่สูง ทำให้การทานอาหารที่ปกติเป็นเรื่องง่ายที่สุด กลายเป็นเรื่องยากไปซ่ะแล้ว เราหยิบขนมที่ซื้อมาจากเมืองไทยมาแบ่งกันกินไปก่อน หลายครั้งในทริปนี้ ที่เจ้า “กล้วยตาก” กล่องนี้มันช่วยชีวิตเราไว้
เรานั่งพักกันอยู่นาน เพราะวิวรอบตัวที่สวยเหลือเกิน เราเริ่มเห็นนักเดินทั้งหลายตามหลังมาเรื่อยๆ อย่างน้อย วันนี้เราก็ไม่ได้เดินเดียวดายกันแค่ 2 คนแล้ว เส้นทางไปสู่ Gokyo Ri เป็นเส้นทางที่คนน้อยกว่าเส้น ABC มาก ทำให้เราไม่ได้เจอผู้คนมากมายเท่าวันแรกๆ การได้เจอนักเดินที่เดินสวนหรือแซงเราไป จึงเป็นเพียงเครื่องยืนยันเดียวว่าเรามาถูกทางและไม่เดียวดาย
เราออกเดินทางต่อ พี่ปั้นเริ่มมีอาการเจ็บที่ไหล่มากขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำหนักกระเป๋าที่มากเกินไป เสียงหัวเราะเราเริ่มหายไป เปลี่ยนเป็นความตึงเครียด เราเริ่มหงุดหงิดใส่กันจากความเหนื่อย ทางเดินยิ่งชันขึ้น และแคบลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังลื่นมากเพราะหิมะที่แกะอยู่ข้างทางเริ่มละลาย น้ำจากหิมะละลายทำให้พื้นดินที่เป็นทางเดินเละเทะ และบีบทางเดินให้จำกัดมากขึ้น
พี่ปั้นขอให้เราถ่ายวิดิโอตอนเค้าเดินผ่านโค้งทางลงที่ด้านซ้ายเต็มไปด้วยหิมะและด้านขวาเป็นเหวลึกมาก เราเริ่มไม่สบายใจเพราะทางลงนั้นดูลื่น, แคบและอันตรายมาก พี่ปั้นยืนยันให้ถ่ายเพราะเค้าคิดเพียงว่าอยากให้ภาพในรายการออกมาดูสวยสมจิงที่สุด ต่ายตั้งกล้องพร้อม และพี่ปั้นค่อยๆ เดินไปจนถึงครึ่งทาง เหตุการที่ต่ายกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น “พี่ปั้นลื่นล้ม และไถลไปที่ขอบเหว!” “พี่ปั๊นนนนน” ต่ายเรียกพี่ปั้นสุดเสียงด้วยความตกใจ ร่างกายวิ่งไปถึงตัวพี่ปั้นแบบไม่รู้ตัว เมื่อตั้งสติได้ และเห็นว่าพี่ปั้นปลอดภัย เรากอดกันแน่น มีนักเดินทางที่กลับลงมาเห็นเหตุการณ์พอดี เค้าตกใจและรีบตะโกนถามเราว่าโอเคมั้ย เราตอบไปว่าเราโอเคและปลอดภัยดี เราประคองกันเดินมาตรงจุดปลอดภัย ต่ายทรุดลงนั่ง ทั้งเสียง ทั้งตัว ทั้งใจ สั่นไม่หยุด ภาพนั้นวนเวียนในหัวไปมา แค่ใจแว๊บคิดไปว่าถ้าพี่ปั้นพลัดตกลงไป เราจะทำยังไง ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งสั่น น้ำตาเริ่มคลอดเบ้า แล้วระบายด้วยการดุพี่ปั้นว่าต่อไปนี้ต้องไม่ทำแบบนี้อีก ต้องระวังตัวมากกว่านี้ ถ้าครั้งต่อไปเราไม่โชคดีแบบนี้จะทำยังไง พี่ปั้นเข้ามาปลอบและขอให้เดินไปข้างหน้าอีกนิดเพื่อนั่งพักให้เป็นเรื่องเป็นราว เราเดินตัวสั่นไปได้ไม่ไกลก็มีที่ให้นั่งพัก เราปลดเป้พักอยู่ตรงนั้นพักใหญ่เพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ บอกตามตรงว่าเหตุการณ์นั้นทำให้รู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก กลัวมากจิงๆ การที่เราเห็นคนที่เรารักตกอยู่ในอันตราย นั่นเป็นความทรมานใจที่สุดอย่างนึงในชีวิต
เราทำข้อตกลงกันว่าเราจะเดินอย่างระมัดระวังและไม่ประมาท และเราต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ภูเขานั้นจะสวยงาม แต่ก็ซ่อนความน่ากลัวไว้มากมาย ถ้าเรารักที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ เราต้องมีสติตลอดเวลาและไม่ประมาท
เราออกเดินทางอีกครั้ง ตลอดเส้นทางของ 2 วันที่ผ่านมานั้นอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว เราเดินๆ หยุดๆ มากว่า 7 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่ “DOLE” จุดหมายปลายทางของเราวันนี้แบบไม่รู้ตัว ด้วยความที่เราถึงที่หมายตั้งแต่บ่าย 2 จึงทำให้เราหันมาปรึกษากันว่าเราจะทำตามแผนเดิมคือพักที่นี่หรือเราจะเดินต่อไปอีกหมู่บ้านดี พี่ปั้นยังคงยืนยันแผนเดิม เพราะอาการแพ้ที่สูงที่ต่ายเป็นเราต้องไม่รีบร้อนและมีเวลาให้ต่ายได้ปรับตัวบ้าง ซึ่งจิงๆ แล้ววันนี้ต่ายอาการดีขึ้นมาก ผิดกับพี่ปั้นที่วันนี้ดูเหนื่อยๆ ล้าๆ กว่าทุกวันที่ผ่านมา
เราเลือกเข้าพักที่ Yeti In โรงแรมที่ดูจะดีที่สุดของที่นี่ มีตั้งแต่ห้องราคาถูก ไปจนถึงห้องที่ราคาแพงถึง 1,500 รูปีรวมอยู่ด้วย และแน่นอน เราเลือกนอนห้องราคา 300 รูปีเช่นเดิม ตลอดเส้นทางเดินทั้งหมด ช่วงที่คึกคักที่สุดของโรงแรมคือช่วงเช้าที่นักเดินทางกำลังเตรียมตัวออกเดิน และช่วงหลัง 4 โมงเย็น ที่นักเดินทางเดินมาถึงจุดหมาย ช่วงเวลาบ่าย 2 โมงที่เรามาถึง โรงแรมจึงเงียบสงัดไร้ผู้คน ป้าที่ดูแลโรงแรมพาเราไปส่งที่ห้องพัก และเช่นเดิม ห้องพักของเรายังคงเป็นห้องที่ตีไว้ด้วยกระดานอัด และเตียงไม้พอดีตัว 2 เตียงซ้ายขวา บวกกับม่านบางๆ อีกหนึ่งผืนเช่นเคย
เราวางกระเป๋าและเดินพุ่งไปที่ห้องอาหารทันที เพราะตอนนี้เราหิวเป็นที่สุด ป้าคนดูแลแจ้งเราว่า อาหารจะช้าหน่อย ซึ่งจิงๆ เราก็ชินแล้ว แต่ครั้งนี้ความหิวของเรามันขยายเวลาชั่วโมงกว่าๆ ออกไปให้ดูเหมือนยาวนานถึง 3 เท่าตัว เรานั่งเฉยๆ แทบจะไม่ได้เพราะหนาวมาก จะออกไปยืนตากแดดข้างนอกก็ดูฟ้าจะไม่เป็นใจ เพราะตอนนี้เจ้าเมฆก้อนใหญ่ได้บังแสงอาทิตย์ของเราไปหมดแล้ว
พี่ปั้นเดินกลับไปกรองน้ำที่ห้องมาให้ พร้อมทั้งหยิบเครื่องกันหนาวทั้งหลายมาให้เราห่อตัว ทำไมวันนี้มันหนาวขนาดนี้น่ะ เรารออยู่กว่าครึ่งชั่วโมงก็ทนไม่ไหว ชวนกันออกไปเดินเล่นใกล้ๆ ที่หมู่บ้าน DOLE นั้นอยู่ที่ความสูง 4,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาสช่วงบ่ายที่เราอยู่คือประมาณ 3 องศา รอบหมู่บ้านเต็มไปด้วยหิมะ และภูเขาหิมะที่อยู่ติดกับโรงแรม กับฝูงจามรีที่เดินเล็มหญ้าอย่างสบายใจเต็มไปหมด แต่ถ้าถามหาผู้คนแล้ว มันเงียบเกินไป เงียบจนน่าใจหาย
เราเดินอยู่ได้ไม่เกิน 10 นาทีก็ต้องกลับเข้ามาที่โรงแรม พี่ปั้นดูอาการไม่ดีเลย ดูเหมือนหมดแรงและจะเป็นไข้ และดูเหมือนว่าอาการแพ้ที่สูงเริ่มเล่นงานเค้าอีกคนแล้ว
เรากลับมารอที่ห้องอาหารอีกครั้ง 1 ชั่วโมง ผ่านไป ผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึงก็เดินเอาอาหารมาเสิร์ฟให้เรา เราถามเค้าว่าเค้าไม่หนาวเหรอ เพราะที่เราเห็นเค้าใส่เพียงเสื้อยืดและสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวบางๆ และมอมแมมมากๆ อีกตัวเท่านั้น เค้าตอบมาว่าหนาว แต่เค้ามีเสื้ออีกตัวตากไว้ข้างนอก ในขณะที่เค้าตอบเรา ต่ายสังเกตุเห็นว่าเค้าหนาวจนปากและเล็บมือของเค้าเป็นสีม่วง แต่ด้วยความที่เค้ามีชุดกันหนาวเพียงเท่านี้ เค้าก็ต้องทนกับมันให้ได้ เมื่อชายคนนั้นเดินจากไป ไม่รู้ทำไมเราถึงเศร้านัก รู้สึกหดหู่ ไม่สบายใจ อยากจะทิ้งเสื้อผ้าทั้งหมดของเราไว้ให้เค้า แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ถ้าตราบใดเรายังต้องห่อตัวกันขนาดนี้
เราหันมาทานอาหารของเราอย่างเชื่องช้า ต่ายแทบจะกลืนอาหารไม่ลงทั้งที่หิวใจจะขาด แต่ล่ะช้อนที่เข้าปาก ก็เหมือนร่างกายมันจะดันออกมาซ่ะหมด เราฝืนกินได้เกือบครึ่งจานจึงขอพี่ปั้นหยุด เพราะไม่ไหวจิงๆ เรานั่งกันต่อแบบหมดอะไรตายอยาก พี่ปั้นเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนชวนกลับห้องไปนอนพัก
เมื่อกลับมาถึงห้อง พี่ปั้นก็มุดเข้าถุงนอนและหลับทันที เราเอาตัวเข้าซุกในถุงนอนเช่นกันและเลือกที่จะนอนมองพี่ปั้นเงียบๆ มองเพราะกลัวว่าเค้าจะเป็นอะไรมากรึเปล่า มองเพื่อสังเกตุถึงอาการหายใจไม่ปกติ มองเพื่อคอยระวังทุกอย่างที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วงเวลากว่า 3 ชั่วโมงนั้น เป็นช่วงเวลาแห่งความทรมาน สมองเต็มไปด้วยความสับสน และเมื่อเวลาผ่านไป
สิ่งที่ต่ายชะล่าใจมันก็กลับมา อาการแพ้ที่สูงของต่ายเริ่มกำเริบ และครั้งนี้ มันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ในขณะที่พี่ปั้นหลับ ต่ายเริ่มปวดหัวที่ท้ายทอยมากขึ้นเรื่อยๆ ห้องเริ่มหมุน และเรี่ยวแรงที่มีมากมายของวันนี้หายไปซ่ะดื้อๆ ต่ายเริ่มคลื่นไส้มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ต่ายเริ่มอาเจียน และหลังจากนั้นก็อาเจียนไม่หยุด เราพยายามออกไปอาเจียนข้างนอกไกลๆ เพื่อไม่ให้พี่ปั้นตื่น แต่สุดท้ายเค้าก็ตื่นมาเห็นจนได้ พี่ปั้นตื่นมาด้วยอาการที่ดีขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะได้ทานข้าวและพักผ่อน พี่ปั้นตกใจและถามด้วยความเป็นห่วง ว่าไหวมั้ย ต่ายยังคงอาเจียนไม่หยุดและหมดแรงจนหลับไปในที่สุด
ต่ายหลับไปสักพักก็ต้องตื่นเพราะอยากอาเจียนอีก สุดท้ายต่ายนั่งบนเตียง หมดแรง และเริ่มร้องไห้ รู้สึกเริ่มกลัวอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเองขึ้นมาจับใจ ด้านนอก เราเห็นเฮริคอปเตอร์พยาบาลวิ่งวนไม่รุ้กี่รอบต่อกี่รอบ นั่นหมายความว่า ไม่ใช่มีแค่เราที่กำลังถูกภูเขาเล่นงาน ต่ายเรียกพี่ปั้นเบาๆ เค้าลืมตาอีกครั้งแล้วเดินมานั่งข้างๆ ต่ายกอดพี่ปั้นแล้วร้องไห้ บอกเค้าแค่สั้นๆว่า
“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าหนูจะบอกให้พรุ่งนี้พี่พาหนูกลับบ้าน หนูว่าหนูไปต่อไม่ไหวแล้ว หนูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย หนูขอโทษ หนูไม่ไหวแล้วจิงๆ”
หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ช่วงเวลานั้นช่างแสนอ่อนแอและทรมาน พี่ปั้นลูบหัวแล้วตอบกลับมา
“ได้ซิ พรุ่งนี้ปั้นจะพากะต่ายกลับบ้าน ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก ยังไงกะต่ายก็สำคัญที่สุดอยู่แล้ว ปั้นรู้ว่าถ้าเรายังดึงดันที่จะไปเราก็ยังไปต่อได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามันต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง ไม่เป็นไรน่ะ อดทนไว้ พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกัน”
ต่ายยังคงร้องไห้ไม่หยุด ไม่บ่อยครั้งที่ในชีวิตนี้ต่ายจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ต่ายเป็นคนดื้อและดึงดัน ทำอะไรต้องทำให้สุด ต่อให้เหนื่อย ท้อ หรือยากแค่ไหน ก็ไม่เคยหนี ไม่เคยยอม แต่ครั้งนี้ ความเข้มแข็งที่ตัวเองเชื่อมั่นมาตลอด มันไม่มีให้เห็นเลยสักนิดเดียว ความรู้สึกตอนนั้นมันอธิบายยากจิงๆ
วันนั้นเราเข้านอนตอน 5 โมงเย็น ต่ายนอนด้วยความอ่อนแรง และรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีไข้ เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง เรานอนไม่หลับแล้ว จึงเดินออกมาที่ห้องอาหารอีกครั้ง ในห้องอาหาร เราเจอนักเดินทาง 2 คนกับไกน์ของเค้ากำลังนั่งผิงไฟอยู่รอบเตากลมๆ ทรงสูง ที่เราเคยบอกไปแล้วว่าสามารถเห็นเตาแบบนี้ในห้องอาหารของทุกโรงแรม บนเตามีกาน้ำร้อนใบมหึมาที่ป้าคนดูแลต้มไว้เพื่อขายให้เราในราคาแก้วล่ะ 50 รูปี เราหาที่นั่งใกล้ๆ เตาเพื่อขอแบ่งปันไออุ่น เราทักทายกับนักเดินทางสองคนนั้นแค่นิดหน่อย เพราะในสภาพป่วยแบบนี้ เราไม่มีแรงเหลือพอจะร่าเริง
ไฟในเตาค่อยๆ มอดลง ชายปากม่วงร่างเล็กคนเดิมนำฟืนมาเติม จากนั้นเค้าก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกะละมังใบใหญ่ที่ในนั้นเต็มไปด้วยขี้จามรีตากแห้ง (หรือขี้วัวตากแห้งนั่นเอง) อัดแน่นอยู่เต็มกะละมัง เค้าเดินมาหยุดที่หน้าเตาและค่อยๆ ใช้มือโกยเจ้าขี้จามรีลงไปในเตาจนหมด สำหรับที่นี่ ในความสูงขนาดนี้ เชื้อเพลิงเป็นสิ่งหายาก และสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงได้ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้นั่นก็คือขี้จามรีที่ตากจนแห้งสนิท สำหรับที่นี่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีค่าแม้กระทั่งมูลสัตว์ เครื่องปรุงและวัตถุดิบทุอย่างผ่านการแบกใส่หลังลูกหาบทั้งหลายมาทั้งนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เวลาคนที่นี่เห็นเราทานอาหารไม่หมดแล้วเค้าจะเสียใจมาก เพราะเค้ารู้ว่าอาหารทุกจานนั้นมีคุณค่าเพียงใด คงไม่ต่างกันกับการที่เราจะเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น เมื่อเราขาดมันหรือต้องลำบากมากมายกว่าจะได้มา และวันนี้ Himalaya ก็สอนให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของทุกสัพพะสิ่งรอบตัวเรา
เรานั่งซึมซับไออุ่นจากเตากลางห้องอาหารได้เพียงพักใหญ่ ก็เริ่มรู้สึกถึงความเงียบที่อึดอัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจึงตัดสินใจเข้านอน นั่นคงเป็นวิธีที่ดีทีสุดสำหรับสภาพของเราตอนนี้
เรามุดเข้าถุงนอนอีกครั้ง และในคืนนี้ความทรมานก็ยังไม่หายไป ต่ายตื่นมากลางดึกเพราะมีไข้ จึงลุกมาควานหายาพาราและยาแก้แพ้อากาศกินไปก่อน อากาศคืนนี้ดูจะหนาวจับใจ ต่ายหยิบนาฬิกาที่ข้างหมอนขึ้นดู อากาศในห้องตอนนี้คือ -2 อืม มิน่าละถึงหนาวขนาดนี้ ต่ายพยายามข่มตานอนอีกครั้งแต่ก็ยากเหลือเกิน ในหัวยังคิดวนไปวนมาว่าจะกลับหรือไม่กลับดี ถ้ากลับ มันก็น่าเสียดายที่เรามาไกลถึงขนาดนี้ อีกเพียงแค่ 2 วันเราก็จะถึงที่หมายแล้ว ถ้ากลับก็เท่ากับความพยายามที่ทำมามันก็ไร้ความหมาย แต่ถ้าตัดสินใจไปต่อ ถ้าอาการมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนอันตรายกว่านี้จะทำยังไง เราไม่ได้ทำประกันการเดินทางไว้ด้วย ถ้าเราฝืนจนถึงยอดที่ 5,000 กว่าเมตรแล้วหมอสั่งให้ฮอมารับกลับเราต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 150,000 บาท คิดไปสารพัดวนไปวนมา หลับบ้างตื่นบ้าง ในที่สุดก็เช้า
ต่ายตื่นมาอีกครั้งด้วยความอิดโรย และหิวน้ำ พี่ปั้นต้องออกไปตักน้ำที่ลำธารหน้าโรงแรมมาต้มน้ำให้กินเพราะน้ำจากก็อกทั้งหมดของโรงแรมจะใช้ไม่ได้ในตอนเช้าเนื่องจากน้ำในท่อจะกลายเป็นน้ำแข็ง
พี่ปั้นต้มมาม่าให้กินในเช้านี้ โดยรวมอาหารในจานที่ต่ายกินไม่หมดลงไปด้วย ต่ายฝืนกินไปได้พอประมาณก็ต้องหยุดเพราะคลื่นไส้ และยังมีไข้อยู่ โดยเพิ่มอาการภูมิแพ้ที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ตาทั้งสองข้างบวมมาก โดยเฉพาะข้างขวาที่บวมจนแทบปิดสนิท ต่ายหยิบยามากิน และค่อยๆ เก็บของ เมื่อเก็บของเกือบเสร็จ พี่ปั้นชวนออกไปเดินเล่นข้างนอก ถึงอากาศจะหนาวจัด แต่ก็สดชื่น
เราคุยกันเรื่องเดิมอีกครั้ง ว่าจะไปต่อหรือจะกลับ พี่ปั้นดูลังเล แต่ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมว่า กลับเถอะ กลับไปเตรียมตัวให้ดีแล้วกลับมาอีกครั้งก็ได้ แต่ถ้าฝืนไปแล้วกะต่ายต้องหยุดเดินทางตลอดไป นั่นคงไม่ใช่เรื่องดี เรายิ้มให้กันและถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่ระลึก ว่าอย่างน้อยครั้งนึง เราก็เดินมาไกลถึงที่นี่ แดดอุ่นๆ ที่เราชอบค่อยๆ ส่องแสงขึ้นเรื่อยๆ เรากลับไปหยิบกระเป๋าของเราขึ้นไหล่อีกครั้ง พี่ปั้นยิ้มให้พร้อมยื่นมือมาจับแล้วพูดว่า
“ป่ะ! กะต่าย เรากลับบ้านกันน่ะ ปั้นจะพาหนูกลับบ้าน”
ในตอนนี้เรากำลังเดินหันหลังให้กับ Gokyo Ri หันหลังให้กับความฝันของเรา เราหันไปมองเส้นทางสู่ Gokyo Ri อีกครั้งเหมือนจะชั่งใจครั้งสุดท้าย และเราก็เลือกจะหันหลังให้มันอีกครั้ง และไม่หันกลับมามอง …อีกเลย…