Home

  • ช่วงเวลางดงามของชีวิตกลางแจ้ง

    ช่วงเวลางดงามของชีวิตกลางแจ้ง

    ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนร้าน Outdoor ที่ผู้คนรู้จักกันกว้างขวาง ผมนับว่าล้มเหลวอย่างมาก

    ที่เอาถุงนอนขนห่านอย่างดีไปนอนเปียกน้ำค้างจนชุ่ม ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าถุงนอนขนห่านนั้นดีทุกประการแต่มันกลัวน้ำกลัวเปียก เอาเต็นท์น้ำหนักเบาไปด้วยแต่ไม่กาง กลับเอามาคลุมตัวหวังกันน้ำค้างไม่ให้เปียกถุงนอน แต่ก็ไม่ช่วยอะไร

    แต่ในฐานะคนกลางแจ้งคนหนึ่ง ผมว่าคืนนั้นผมก็ใช้ได้อยู่นะ

    ผมมีเพียงแผ่นรองนอนและถุงนอนอยู่ข้างๆ กองไฟ ข้างหน้าคือผาหินอลังการของดอยม่อนจอง ในมุมที่น้อยคนนักจะได้เคยเห็น รอบตัวคือป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่หนาทึบและสรรพสัตว์อยู่ในหุบเขาลึกลับ ความอบอุ่น, กลิ่นหอมและแสงวอมแวมของกองไฟสร้างความอบอุ่นทางใจให้กับคนนอนป่า เสียงสนทนาของมิตรสหายแว่วมาเบาๆ จับใจความพอได้ว่าพ่อหลวงกำลังเล่าเรื่องตำนานของสันเขาและป่าแห่งนี้ ไม่นานนักผมก็หลับไปด้วยความเพลียที่เดินกันมาสองวัน

    กลุ่มนักเดินทางนั่งรอบกองไฟในป่า มีกระท่อมหลังเล็กตั้งอยู่ด้านข้าง บรรยากาศบริเวณขุนเขาในยามค่ำคืน มีดาวเต็มฟ้าประดับอยู่เหนือศีรษะ
    ความอบอุ่น, กลิ่นหอมและแสงวอมแวมของกองไฟสร้างความอบอุ่นทางใจให้กับคนนอนป่า เสียงสนทนาของมิตรสหายแว่วมาเบาๆ
    ภาพถ่ายกลางคืนของคนที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าภายใต้ท้องฟ้าซึ่งประดับไปด้วยดวงดาว มีภูเขาและพุ่มไม้ในเบื้องหลัง
    ภาพนี้น้องเกตุถ่ายไว้ตอนที่ออกมาดูกลางดึกว่าผมยังมีชีวิตอยู่มั๊ย

    ผมตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลางดึกเพราะเสียงเก้งร้องไม่ไกลจากแค้มป์  พระจันทร์คืนวันเกือบเต็มดวงขึ้นมาจากหลังหน้าผานั้น ส่องสว่างไปทั้งหุบเขา   ผมนอนมองและเฝ้าฟังเสียงทุกอย่างที่เป็นไปรอบตัว แม้จันทร์จะขึ้นจนกระจ่างฟ้า แต่บนผืนดินที่มืดสนิทเช่นนี้เราก็ยังสามารถเห็นดาวได้ไม่น้อย ผมรับสัมผัสได้ถึงลมที่พัดมาเบา เสียงแมลงและเสียงของป่าที่ดังอยู่รอบไปหมด ผมนอนดู รับรู้ความงดงามรอบตัวนั้น และอยากจะสัมผัสมันให้นานที่สุด แต่ไม่นานก็หลับไปอีก

    อาจจะตีสามหรืออาจจะใกล้ตีสี่ น้ำค้างหนักมากจนถุงนอนผมชุ่มไปหมด พระจันทร์ตกไปแล้วแต่เมื่อลืมตาขึ้นมาผมก็พบกับดาวเต็มฟ้ามากมายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หน้าผายังคงอยู่ข้างหน้าตรงนั้นเป็นเงาที่ยังพอเห็นได้จากแสงดาว 

    ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว สะท้อนความงดงามของธรรมชาติ บริเวณรอบข้างมืดสนิท มีเงาของภูเขาอยู่ด้านล่าง
    เงาผาใต้แสงดาว

    ผมนอนมองภาพนั้นอยู่พักใหญ่น่าจะเป็นชั่วโมง แสงสีส้มก็เรืองขึ้นที่ขอบฟ้าทางขวามือ ดาวเริ่มหายไป เสียงของป่าเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง วันใหม่ของป่าเริ่มขึ้นแล้ว

    ทุกครั้งเมื่อมีคนถามว่าทำไมต้องออกมาเดินป่าผมต้องหยุดคิดอยู่นาน และคำตอบของผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนพยายามหาข้อแก้ตัว จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ผมเริ่มมีคำตอบที่คิดว่าใช่

    ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กองไฟในป่า มีเต็นท์และถุงนอนวางอยู่บนพื้นหญ้า ด้านหลังเป็นภูเขาและท้องฟ้าสีฟ้าในช่วงเช้า
    แสงเรืองที่ขอบฟ้าของเช้าวันใหม่

    บางครั้งเราเดินป่ากันหลายสิบ หรืออาจจะเป็นร้อยกิโลเมตร โดยที่ไม่รู้ว่าเดินไปหาอะไร คนส่วนหนึ่งอาจจะเดินเพื่อค้นหาความงามเพื่อบันทึกลงภาพถ่าย บางคนเพื่อพิสูจน์ เพื่อพิชิต หรือแม้แต่เพื่อเอาไปอวดกัน แต่นั่นผมคิดว่าเขากำลังอยู่ในกระบวนการเรียนรู้

    สำหรับผมแล้ว การเดินป่าคือการค้นหาช่วงเวลาเช่นนี้ สิ่งที่เราเรียกมันว่า “ช่วงเวลาที่งดงามของชีวิตกลางแจ้ง” “A beautiful moment of Outdoor Life” ซึ่งอาจจะแตกต่างออกไปในมุมความคิดของแต่ละคน

    ช่วงเวลาที่เราได้สงบนิ่ง ไร้ตัวตน เป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งรอบข้าง สิ่งที่คนทั่วไปเรียกมันว่าธรรมชาติ ช่วงเวลาที่ความคิดของเรามีแต่ความงดงาม 

    เราจะพบช่วงเวลาเช่นนี้ได้เมื่อเราเข้าใจ และเปิดรับ มันอาจจะซ่อนอยู่ในเส้นทางเดินยาวไกลที่จะพาเราไปให้พ้นความซิวิไลย์ หลุดออกไปจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งในรูปวัตถุและกรอบความคิด หรือมันอาจจะซ่อนอยู่ริมลำธารใกล้ๆหมู่บ้านที่ไหนสักแห่ง

    เช้าวันนั้นผมตื่นขึ้นมาด้วยใจที่เต็มไปด้วยพลัง ผมมีความมุ่งมั่นและความเข้าใจถึงหน้าที่ที่ต้องทำ ผมจะต้องทำให้ผู้คนสักส่วนหนึ่งได้สัมผัสกับความงดงามเช่นนี้ และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างเส้นทางเดินป่าเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่รักป่าดูแลป่าอย่างบ้านห้วยไม้หก

    แต่กระนั้นมันก็มาพร้อมกับความกังวลใจในทางโลกสองอย่างคือ หนึ่งคือถุงนอนขนห่านสุดที่รักของผมจะพังมั๊ย (สรุปว่ามันไม่พังครับ สลัดๆ น้ำ แล้วตากแดดสักหน่อยก็รอดแล้ว ของดีๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ) 

    ข้อสองคือคำพูดของน้องๆ ที่ร้าน “พวกหนูเข้าใจนะว่าพี่ชอบนอนกลางแจ้งดูดาว ตากน้ำค้าง แต่ถ้าพี่จะทำ ไม่ต้องออกสื่อได้มั๊ย ที่ร้านเราขายเต็นท์ค่ะพี่” 

    ตาเกิ้น

    7 ธันวาคม 2568

    หมายเหตุ: เส้นทางเดินป่าบ้านห้วยไม้หกนี้อยู่ในระหว่างการสำรวจความเป็นไปได้ โดยเป็นการร่วมมือกันของชุมชนห้วยไม้หก, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร โปรดรอติดตามข่าวดีเร็วๆนี้

  • ของหวานที่ดีต่อใจ

    ของหวานที่ดีต่อใจ

    ขนมน้ำแข็งใส “หวานจาก เค็มเคย” ถ้วยเดียว เราไม่เพียงจะได้ชิมรสชาติที่หวานผสมเค็มอย่างกลมกล่อมแตกต่าง แต่ค่าขนมของเรายังถูกส่งต่อไปอุดหนุนแหล่งผลิตอาหารพื้นบ้านที่กำลังจะสูญหายไปถึง 5 ชุมชน ใน 4 จังหวัด เป็นการทำอะไรดีๆด้วยการกินของอร่อย โดยที่ไม่ต้องออกแรงเดินทางไปไกลเลย เพราะมีคนลงแรงไปทำแทนเราแล้ว

    ภาพของผู้หญิงนั่งที่โต๊ะไม้ในร้านขนม ข้างหน้าเป็นจานขนมน้ำแข็งใสที่มีวัตถุดิบหลากหลายและน้ำเชื่อมเสิร์ฟในแก้วเล็ก
    ขนมน้ำแข็งใส “หวานจาก เค็มเคย” ถ้วยเดียว เราไม่เพียงจะได้ชิมรสชาติที่หวานผสมเค็มอย่างกลมกล่อมแตกต่าง แต่ค่าขนมของเรายังถูกส่งต่อไปอุดหนุนแหล่งผลิตอาหารพื้นบ้านที่กำลังจะสูญหายไปถึง 5 ชุมชน ใน 4 จังหวัด

    ขณะที่สังคมไทยหมุนวนอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองที่ถกเถียงกันทุกเรื่องยกเว้นที่จะแย่งกันทำให้ความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น ในเบื้องหลังเงียบๆ มีคนตัวเล็กๆ ร้านขนมเล็กๆ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเหลือชุมชนที่มีมรดกทางอาหารล้ำค่าของประเทศเราให้คงอยู่ได้ด้วยการเพิ่มคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นและพยายามแปรรูปออกมาให้คนเมืองอย่างเราเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    “หวานจาก เค็มเคย”  คือตัวอย่างที่ดี ในขนมแสนอร่อยถ้วยเดียวนี้มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมดอกจากของบ้านขนาบนาก จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ให้รสหวานแบบกลมกล่อมเพราะเจือเอาความเค็มนิดๆมากจากน้ำกร่อยในถิ่นกำเนิดของมันมาด้วย ลูกจากที่มาจากฉะเชิงเทรา โมจิทำด้วยข้าวฝ่างจากสกลนคร มะพร้าวอ่อนจากราชบุรี และกุ้งเคยเค็มจากฉะเชิงเทรา

    การ์ดเมนูเกี่ยวกับขนมน้ำแข็งใส "หวานจาก เค็มเคย" แสดงส่วนผสมและแหล่งที่มาของวัตถุดิบจากไทย เช่น น้ำเชื่อมดอกจาก ข้าวเหนียว มะพร้าวอ่อน และกุ้งเคยเค็ม

    เมนูขนมต่างๆในร้านไสใส ถูกบรรจงประดิษฐ์ขึ้นมาจากวัตถุดิบธรรมชาติของท้องถิ่นต่างๆที่กำลังจะสูญหายไปกับกาลเวลา เช่นน้ำตาลดอกเหนา ต้นไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติและใช้เวลาถึง 25 ปีกว่าจะเก็บลูกและปาดน้ำหวานได้ก่อนจะยืนต้นตาย ปัจจุบันนี้มีคนที่ทำน้ำตาลดอกเหนาเป็นอยู่เพียง 5 ครอบครัวในจังหวัดพังงาเท่านั้น

    ภาพถ่ายของกระบวนการผลิตขนมไทยที่แสดงถึงวัตถุดิบพื้นบ้านและความชำนาญของคนทำ จากชุมชนต่างๆ โดยมีภาพจัดเรียงอยู่บนผนังไม้
    ร้านไสใสเสาะหาวัตถุดิบธรรมชาติมาจากชุมชนต่างๆทั่วประเทศ

    ผมมีความเชื่อว่า สิ่งที่มีค่าที่สุด เป็นสเน่ห์แท้ๆของประเทศไทย และจะทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ เจริญรุ่งเรื่องได้คืออาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่นที่เร่ิมต้นจากวัตถุดิบธรรมชาติของพื้นที่นั้นๆแล้วหล่อหลอมขึ้นมาเป็นวัฒนธรรมอาหารของชุมชนที่สะสมมายาวนาน  สิ่งเหล่านี้เป็นสเน่ห์ที่สามารถดึงดูดให้คนทั่วโลกสนใจ และไม่มีใครจะลอกเลียนแบบได้

    แต่น่าเสียดาย ที่ตอนนี้สังคมไทยเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เลย เมื่อไม่ถูกให้คุณค่า หลายสิ่งอย่างก็เริ่มสูญหาย และด้วยความไม่ใส่ใจที่จะเลือกกินของดีๆของพวกเราคนเมืองใหญ่ ไม่ว่าเราจะไปจังหวัดไหนภาคไหน เราก็จะได้กินอาหารที่เหมือนๆกันที่ปรุงขึ้นมากจากวัตถุดิบที่ซื้อมาจากร้านขายส่งอาหารรายใหญ่ที่ผูกขาดไปทั่วประเทศ

    โปสเตอร์เมนูอาหารที่มีรูปถ้วยโยเกิร์ตผสมผลไม้สด พร้อมส่วนผสมต่างๆ เช่น ข้าวพอง, ถั่ว, และน้ำผึ้ง
    คราฟโยเกิร์ต ใส่ครีมงาขี้ม่อนคั่วอร่อยมากครับ เป็นอีกตัวอย่างของความสร้างสรรค์ที่พยายาม “แปล” วัตถุดิบท้องถิ่นให้คนเมืองเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

    การให้คุณค่าและแสวงหาวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นมาบริโภคกันนั้น นอกจากจะกระจายรายได้ไปถึงชุมชน,  รักษาวัฒนธรรมอาหารของเราให้มีคุณค่ายั่งยืนแล้ว ยังส่งผลดีกับการอนุรักษ์ธรรมชาติอีกด้วย ลองนึกดูง่ายๆว่าถ้าชุมชนมีรายได้จากการขายลูกจาก, ใบจาก และน้ำตาลจาก เราก็คงไม่ต้อง “CSR” ไปปลูกป่าชายเลนกัน

    ผู้หญิงยืนอยู่ระหว่างชั้นวางที่เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและอาหารในร้านค้า เธอกำลังถือบรรจุภัณฑ์สีเทาเพื่อตรวจสอบรายละเอียด
    นอกจากขนมหวานแล้ว ทางร้านไสใสยังไปเสาะหาข้าวพันธุ์พื้นเมืองอร่อยๆมาจำหน่าย 


    ว่าก็ว่าเถอะผมนี่เสียดายและน้อยใจมากที่คนไทยเราสามารถแยกรสชาติขององุ่นพันธุ์ดีของฝรั่งเศสและอิตาลีที่ใช้ทำไวน์ได้ ชื่นชมเมล็ดกาแฟของเอธิโอเปีย โคลัมเบีย แต่ไม่มีใครแยกความอร่อยของข้าวที่เรากินกันทุกวัน ไม่มีใครได้ชื่นชมข้าวพันธุ์ดีที่เรามีซ่อนอยู่ในชุมชนต่างๆทั่วประเทศ
    บรรจุภัณฑ์ของข้าวกล้องอินทรีย์ "ข้าววิสุทธิ์" แสดงชื่อและลักษณะผลิตภัณฑ์บนฉลากพร้อมคำอธิบายเกี่ยวกับรสชาติและคุณลักษณะของข้าว
    ผมลองซื้อข้าวมาหลายชนิด และลองหุงพันธุ์ขาววิสุทธิ์เป็นอย่างแรก อร่อยมากครับ รสชาติเป็นข้าวเจ้าปนข้าวเหนียว หอมอ่อนๆ  แตกต่างจริงๆ


    แต่ถ้าจะพูดให้ดัดจริตถูกใจคนสมัยใหม่ต้องบอกว่า มันมีบอร์ดี้ อะไรแบบนี้มั๊ย

    ถ้าคุณเหมือนผมที่ไม่ชอบจะบริจาคเงินแบบให้เปล่า ไม่ว่าจะกับมูลนิธิ หรือศาสนสถานอะไร เพราะผมเชื่อว่าการส่งเสริมให้คุณค่าสิ่งที่เป็นจริงมีอยู่จริงนั้นยั่งยืนกว่าการให้เปล่าที่ไม่มีวันจบสิ้นมากนัก 

    หากอยากจะทำดี ไม่ต้องไปบริจาคเงินที่ไหนก็ได้นะครับ เรามาเลือกใช้เงินของเราให้มีคุณค่า ให้มันไปถึงคนที่ทำดี สร้างสรรค์สิ่งดีๆ สร้างคุณค่าที่เป็นประโยชน์กับสังคม ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งผลไปให้ประเทศเราดีขึ้นไปด้วย 

    ผลิตภัณฑ์อาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้มีขวดและกระปุกบรรจุอาหารหลากหลายชนิดในร้านขนม รวมถึงน้ำเชื่อมและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
    ที่ร้านมีสารความหวานต่างๆเช่นน้ำเชื่อมและน้ำตาลต้นจาก, ต้นเหนา, ตาลโตนด, น้ำผึ่้งจำหน่ายด้วย ของดีๆทั้งนั้นครับ

    เริ่มที่ร้านไสใสนี่ก็ได้ครับ ขนมที่นี่นอกจากรสชาติจะกลมกล่อมจากวัตถุดิบธรรมชาติ และอร่อยจากความสร้างสรรค์ของเมนูต่างๆแล้ว กินแล้วยังอิ่มใจมากครับ

    เพราะคนทำเขาใส่ “ใจ” เข้าไปอย่างเต็มที่ครับ

    กล่องขนมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจัดแสดงในร้าน, มีป้ายแสดงความพร้อมในการชิมและเน้นความแตกต่างจากวัตถุดิบธรรมชาติ.
    เขามีจัดเป็นกล่องของขวัญด้วย ผมว่ามันเป็นกล่องของขวัญที่ “มีคุณค่า” กว่าตะกร้าที่เขาจัดขายกันทั่วไปมากนัก

    ปีนี้ผมจะซื้อไปให้ผู้ใหญ่ที่เคารพครับ

    ข้อมูลเพิ่มเติม

    – ร้านไสใส อยู่ใกล้ประตูผี ถ้าขับรถไปสามารถไปจอดรถที่ปั๊มเชลฝั่งตรงข้ามได้
    – ถ้ากินขนมแล้วอยากเดินป่าหรือพายเรือช่วยชุมชน ขอเชิญไปเดินป่าที่แม่เงา และพายเรือที่แม่น้ำน่านได้ครับ คนทำเขาก็ใส่ “ใจ” เข้าไปอย่างเต็มที่เหมือนกันครับ

    ตาเกิ้น

    27 ตุลาคม 2568

  • คุณอยากให้ผู้คนจำคุณได้แบบไหน

    คุณอยากให้ผู้คนจำคุณได้แบบไหน

    ผมอยากได้แบบนี้

    วันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา วงการตกปลา Fly Fishing และคนรักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ได้สูญเสีย บุคคลที่เป็นตำนานไปอีกหนึ่งคน Flip Pallot 

    Flip เป็นบุคคลที่คนในวงการรักและนับถือมาก เห็นได้ชัดจากการโพสต์ชื่นชมและอาลัยรักเต็ม Feed ไปหมดตลอดสัปดาห์  

    ชายผิวหนังขาวยืนตกปลาในตอนเช้าขณะพระอาทิตย์ขึ้น สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตและหมวกตกปลา ถือรอกตกปลาผ่านสายเบ็ด

    Flip เกิดและเติบโตที่ฟลอริด้าในยุคที่มีทั้งป่า, ทะเล และบึงน้ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ ซึ่งทำให้เขาเติบโตมาด้วยการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ตกปลา ล่าสัตว์ 

    เขามีเพื่อนที่เติบโตและใช้ชีวิตกลางแจ้งมาด้วยกันอย่างโชกโชนแทบจะทุกวัน ซึ่งปลูกฝังให้พวกเขาเข้าใจและรักธรรมชาติอย่างลึกซึ้งกว่าคนที่เพียงมองอยู่ห่างๆ

    บุคคลสูงอายุในชุดเสื้อสก๊อต กำลังจ้องมองไปข้างหน้า ขณะเตรียมคันตกปลา แบ่งเบาอารมณ์ในบรรยากาศธรรมชาติ

    หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเข้าทำงานธนาคารอยู่สิบกว่าปี โดยที่เขาเล่าว่าเขาได้ทำหน้าที่ปล่อยเงินกู้ให้ผู้คนออกไปตามหาความฝันในขณะที่มองเห็นความฝันของตัวเองค่อยๆเลือนหายไป เขาจึงเดินออกมาและเป็นไกด์ตกปลาล่าสัตว์ไปทั่ว ตั้งแต่ฟลอริด้าไปจนถึงมอนทาน่า 

    Two anglers fishing from a small boat at sunset, with calm waters and a colorful sky.

    เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆในฐานะไกด์มือดี แต่ก็เกิดโชคร้ายที่นำไปสู่เรื่องดีเมื่อพายุเฮอริเคนลูกหนึ่งพัดถล่มบ้าน เรือ รถ และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เขาใช้สำหรับพาลูกค้าไปตกปลาล่าสัตว์

    ในจังหวะนั้นเองที่ Flip ออกตามความฝันอีกอย่างหนึ่ง คือการทำรายการทีวีที่แตกต่างไปจากที่มีกันอยู่ คือรายการ Outdoor ชั้นดีที่ไม่ต้องใช้ดาราหรือคนดัง เขาเชื่อว่าทุกคนล้วนมีสหายตกปลา หรือคนที่รักจะใช้เวลาและผจญภัยไปด้วยกัน Flip อยากจะสื่อความสัมพันธ์แบบนั้นด้วยผู้คนจริงๆ ซึ่งมีความหมายกับเขามาก และเพื่อนในวัยเด็กของเขาก็เข้ามามีส่วนร่วมกับแผนการใหม่นี้

    ความคิดนั้นกลายเป็นรายการ The Walker’s Cay Chronicles ที่ออกอากาศทางช่อง ESPN ตั้งแต่ 1992 ถึง 2006 ยาวนานถึง 14 ปี ที่พาผู้ชมติดตามการตระเวนตกปลาของ Flip และนักตกปลาชั้นยอดไปทั่วโลก 

    ด้วยความที่เป็นนักเล่าเรื่อง, รู้จริง, เนื้อหาที่จริงใจของคนจริงๆ และเสียงนุ่ม rum-smooth voice ของ Flip ทำให้รายการนี้ดังมากในหมู่คนรักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง ทำให้คนรู้จัก Flip เพิ่มขึ้นอีกมาก และเป็นการสร้างวิถีชีวิตแบบใหม่ของการท่องเที่ยวตกปลาและผจญภัยในที่ห่างไกลอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

    Flip หัวเราะเมื่อมีคนบอกว่าเขาเป็นผู้สร้างวิถีชีวิตแนวใหม่ (Lifestyle pioneer) “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า Lifestyle แปลว่าอะไร เราก็แค่ทำอะไรแบบที่เราชอบ”

    หลังจากรายการจบไป Flip กลายเป็นครูและนักพูดที่ทุกคนต้องการเชิญ เป็น Ambassador ของแบรนด์เช่น Yeti และ Costa del Mar เขาเป็นที่ปรึกษาและช่วยออกแบบเรือ ออกแบบคันฟลาย สร้างแบรนด์เหล้ารัมร่วมกับเพื่อนๆ

    นอกจากนั้นเขายังเป็น mentor ให้กับนักตกปลา Fly Fishing อีกหลายคนจนกลายเป็นคนดังในวงการ เช่น Rob Fordyce ไกด์ตกปลาที่เป็นที่รู้จักที่สุดคนหนึ่ง และ Oliver White ที่กลายเป็นเจ้าของ Lodge ตกปลา Bone Fish

    “มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก ที่ได้ช่วยคนอื่น และได้เห็นเขาประสบความสำเร็จในชีวิตและความฝัน  แต่ผมไม่ได้พูดถึงความร่ำรวยเสมอไปนะ” Flip กล่าวไว้

    แม้จะอายุมากขึ้น แต่ Flip ไม่เคยหยุดการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เขาลากรถเทรลเลอร์ตระเวนไปทั่ว เขาอาจจะไปปักหลักตกปลาแถวๆ Rocky Mountain สัก 2 เดือนในช่วงฤดูร้อน ลงไปล่ากวางที่ Texas, ล่าหมูที่ Georgia แล้ววนกลับมาบ้านที่ฟลอริด้าในฤดูล่าไก่งวงที่เขาชอบที่สุด และในช่วงนั้นถ้าคุณจองทริปตกปลากับ Florida Outdoor Experience คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่าไกด์ที่เอาเรือมารับคุณตอนเช้าอาจจะเป็น Flip Pallot ผู้เป็นตำนานเดินได้

    ชายสูงอายุในเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตนั่งอยู่บนบันไดบ้านไม้ข้างปืนสงครามและไก่งวงที่ล่าได้
    ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ้วใกล้กับรถเทรลเลอร์ในคืนที่มืดสลัว ถือขวดเครื่องดื่ม ข้างๆ มีโคมไฟตั้งพื้นและปืนยาววางอยู่บนพื้นหญ้า

    ตลอดชีวิตของ Flip Pallot เขาสื่อสารและผลักดันการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างเต็มกำลัง สิ่งที่เขาพูดอยู่เสมอคือความสำคัญของการพาผู้คนเข้าไปสัมผัสธรรมชาติ

    “โลกธรรมชาติกำลังเสื่อมโทรมลงทุกหนทุกแห่ง สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ ทรัพยากรและพื้นที่ธรรมชาติที่เราหวงแหน จะต้องถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่ ซึ่งไม่มีความผูกพันกับธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะซาบซึ้งในคุณค่า และไม่มีทางที่จะรักมันได้ และถ้าพวกเขาไม่รักธรรมชาติ มันก็จะไม่มีวันได้รับการปกป้องเลย”

    ชายสูงอายุในชุดเชิ้ตลายสก๊อตยืนอยู่ในป่าเขียวขจี ถือธนูและลูกธนู มือขวาทำท่าทางมองขึ้นไปที่ท้องฟ้า มีแสงสว่างทะลุผ่านต้นไม้ในพื้นหลัง

    Flip Pallot อายุ 83 ปี ผู้ที่ได้ใช้เวลาในชีวิตตามความฝันอย่างคุ้มค่าแล้ว เดินทางไปตกปลาล่าสัตว์ที่ดินแดนไกลโพ้นเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2025 

    เขาจะอยู่ในความทรงจำในฐานะ นักเล่าเรื่อง, ครู, นักตกปลา, นักล่าสัตว์ และ นักอนุรักษ์  ผู้ยิ่งใหญ่

    เราล้วนมีจำนวนวันจำกัด บนโลกใบนี้ 

    แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะเลือกใช้มันยังไง บางคนอาจจะใช้แต่ละวันทำงานประจำแล้วตกเย็นก็กินข้าวตามร้านอาหารยอดนิยมไปเรื่อยๆ บางคนอาจจะเลือกที่จะเสพดราม่าแล้วหงุดหงิดไปกับมันรายวัน หรือบางคนอาจจะออกไปทำตามความฝัน แล้วกลับมานั่งภูมิใจจิบเบียร์เย็นๆในวันฝนตก

    ผมเลือกทางของผมแล้ว ขอบคุณครับ Flip Pallot

    ตาเกิ้น

    31 สิงหาคม 2025

    ภาพและข้อความบางส่วนจากนิตยสาร Garden & Gun

  • ธรรมชาติชายขอบ กุญแจดอกสำคัญของการฟื้นฟูธรรมชาติ

    ธรรมชาติชายขอบ กุญแจดอกสำคัญของการฟื้นฟูธรรมชาติ

    หากผมบอกว่าเราอยู่ในจุดที่สามารถทำอะไรเพียงนิดเดียวจะสามารถแก้ปัญหาความแห้งแล้ง, การเผาป่า, ฝุ่นควันพิษ, น้ำท่วม, เชื่อมต่อป่าอนุรักษ์ให้สัตว์ป่าเดินหากันได้, เพิ่มรายได้เกษตรกร, แก้เศรษฐกิจตกต่ำ และยังฟื้นฟูธรรมชาติของเราได้อีกหลายล้านไร่ โดยแทบไม่ต้องใช้งบประมาณอะไรมากมายเลย คุณจะสนใจฟังกันมั๊ยครับ

    ลองมาฟังเรื่องกุญแจดอกเล็กที่สำคัญมากนี้ดูครับ อาจจะอ่านไม่สนุก แต่ถ้าใส่ใจธรรมชาติจริงๆ ช่วยทนอ่านกันหน่อยครับ ผมเรียกมันว่า “ธรรมชาติชายขอบ”

    ตอนนี้กำลังมีความพยายามช่วยกันแก้กฎหมายสวนป่าให้สามารถปลูกไม้เศรษฐกิจยืนต้นเพื่อตัดขายได้ในพื้นที่ที่เรียกว่า คทช., สปก. โดยที่มี ส.ส. นายมานพ คีรีภูวดล เป็นผู้ผลักดันและยกร่างเสนอสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก

    อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแปลกใจ “อ้าว มันปลูกไม่ได้เหรอ” ก็ไม่เชิงครับ ปลูกได้ แต่ตัดใช้ประโยชน์ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่มีใครปลูก และผืนแผ่นดิน 42 ล้านไร่เหล่านี้จึงถูกถางเตียนโล่ง เป็นไร่ข้าวโพด ไร่มัน ไร่อ้อย และเผากันอยู่ทุกปี ทั้งๆที่ส่วนใหญ่อุดมสมบูรณ์และมีศักยภาพเกินกว่าจะปลูกพืชเชิงเดี่ยวกันแบบนี้ 

    เรามีการแก้ไข พรบ.สวนป่ากันครั้งล่าสุดเมื่อปี 2558 เป็นการแก้ไขให้ประชาชนทั่วไปสามารถขึ้นทะเบียนขอปลูกไม้เศรษฐกิจ เช่นไม้สัก, ไม้ประดู่, ไม้พะยูง ฯ และสามารถตัดใช้หรือขายได้ จากเดิมที่ปลูกแล้วตัดขายได้ยากมากหรือไม่ได้เลย แต่กฎหมายนี้มีผลเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ไม่ครอบคลุมถึงพื้นที่ คทช. และ สปก. 

    แล้ว คทช. กับ สปก.คืออะไร 

    สปก. คือพื้นที่จัดสรรปฏิรูปให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่ คทช. (โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน) มาทีหลังครับ เป็นโครงการที่ต้องการแก้ปัญหาให้ชุมชนที่มีที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ของรัฐ เช่นป่าสงวนหรือพื้นที่สาธารณะ โดยให้ใช้ประโยชน์ในการเกษตรและอยู่อาศัยโดยไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน

    อ่านถึงตรงนี้อย่าไปตกหล่มอยู่ว่าที่ สปก. คทช. เป็นการบุกรุกป่าอนุรักษ์ บุกรุกธรรมชาตินะครับ เราผ่านจุดตรงนั้นมาแล้วครับ ตอนนี้ทางราชการเขาก็จัดการสำรวจพื้นที่กันชัดเจนแล้วว่าตรงไหนเป็นป่าอนุรักษ์ตรงไหนเป็น ที่ทำกิน สปก. คทช.

    ถึงแม้จะมีตรงไหนไม่ชัดเจน ตรงไหนโกงกัน ก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะคุยกันตรงนี้ครับ ถ้าจะดราม่าเรื่องนี้ขอเชิญที่อื่น

    เราไม่ได้จะถางป่าปลูกใหม่ครับ แต่จะเปลี่ยนไร่โล้นๆให้เป็นป่าที่มีธรรมชาติกัน เข้าใจตรงกันนะครับ

    ภูเขาที่มีต้นไม้สูงและพื้นที่โล่งในด้านหน้า ต้นไม้บางต้นยังคงยืนอยู่ในพื้นทุ่งที่แห้ง แลดูเหมือนถูกทำลายหรือถูกตัดแปลงไป
    พื้นที่การเกษตร สปก. คทช. ทุกวันนี้จะมีสภาพอย่างนี้ครับ เพราะเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากไม้เศรฐกิจยืนต้นได้

    ตรงนี้เราจะคุยกันว่าจะทำยังไง ให้ที่เหล่านี้ซึ่งตอนนี้เป็นไร่โล่งๆถูกเผาเตียนๆทุกปีกลับมาเป็นป่าอีกครั้งโดยที่ชุมชนได้รายได้จูงใจจากผืนป่า รัฐไม่ต้องปลูกป่าไม่ต้องใช้งบประมาณ ไม่ต้องทะเลาะกับคนที่ต้องการที่ทำกิน และเราคนไทยทั้งประเทศได้ป่า ได้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น หน้าฝนน้ำไม่ท่วมบ้าน หน้าแล้งไม่ต้องดมควันพิษ

    จะดีหรือไม่ถ้าที่ดิน 42 ล้านไร่นี้ ซึ่งคิดเป็น 1/3 ของพื้นที่การเกษตรของประเทศไทย และเทียบเท่ากับ 57% ของพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นี้จะกลายเป็นพื้นที่ป่าขึ้นมา แม้เพียงส่วนหนึ่งก็ยังดี 

    มันดีแน่ครับ ถ้ามีการแก้ไข พรบ.สวนป่า ให้สามารถปลูกไม้ยืนต้น เพื่อตัดไม้ใช้ได้ เพราะมันจะลดการเผา การทำลายหน้าดิน การไหลหลากของน้ำฝนที่ทำให้น้ำท่วม และการปลูกไม้เศรษฐกิจก็สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร มากกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวระยะสั้นมาก แม้ว่ามันจะต้องมีการให้ความรู้ การสนับสนุนด้านเงินทุนและเรื่องอื่นๆให้สามารถทำกันได้ 

    ไม้ชั้นดีเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากครับ ขายได้ราคา ราคาขึ้นเรื่อยๆเพราะมีไม่พอความต้องการ ไม่มีปัญหาราคาตกต่ำเหมือนพืชผลทางการเกษตร

    ว่าก็ว่าเถอะ ผมรู้สึกเสียดายมากที่บ้านเราที่มีอากาศอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็งอกงามเคยมีไม้ใช้กันมาหลายชั่วคน ตอนนี้ต้องนำเข้าไม้จากยุโรปทั้งๆที่เขาปลูกไม้ยากกว่าเรามาก คุณภาพก็สู้ไม้เราไม่ได้

    ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ครับ ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มเติมแนะนำให้ไปติดตามอ่านที่พี่พงศา ชูแนม ที่ทุ่มเทเรื่องการปลูกไม้เศรษฐกิจนี้มานับสิบๆปี

    อ้าว งั้นแค่ให้เขาแก้กฎหมายไปก็จบ ก็ได้ป่าแล้วซิ ไม่เห็นต้องทำอะไรอีก

    ยังครับ ไม่ง่ายขนาดนั้น


    เรื่องมีอยู่ว่า ต่างจากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ การปลูกต้นไม้ใหญ่ให้เต็มพื้นที่ไม่ใช่ป่า 

    ภาพของป่าสวนที่มีต้นไม้อยู่ในแถวและพื้นดินมีใบไม้แห้งปกคลุมแสดงถึงพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ
    ป่าไม้เสรษฐกิจเป็นเรื่องดีมาก แต่มันยังไม่ใช่ป่าธรรมชาตินะครับ ขาดอีกนิดเดียว

    “ป่า” จะเป็นป่าที่สมบูรณ์ได้จะต้องมีแมลง, นก, และสัตว์ป่าประเภทต่างๆเข้ามาอยู่อาศัยและสร้างความสมดุลย์

    จะให้มีแมลง มีนก มีสัตว์ป่า เข้ามาอยู่อาศัยได้จะต้องมีอาหารและที่หลบภัยให้เพียงพอ สวนป่าเศรษฐกิจที่มีไม้ยืนต้นเรียงเป็นแถวเป็นแนวและถางพื้นที่ใต้ต้นให้เตียนโล่งนั้นไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้ 

    และถ้าอยากจะให้มีแมลง มีนก มีสัตว์ป่า เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ ก็ต้องมีแรงจูงใจให้คนที่ดูแลพื้นที่ได้ประโยชน์จากมัน เขาถึงจะทำ

    เรื่องนี้เขียนแนวทางขึ้นมาได้ไม่ยาก เพราะมีหลายประเทศเขาทำการวิจัยและนำมาใช้อย่างได้ผลแล้วทั่วโลก ส่วนการปฏิบัติจริงก็ต้องทุ่มใจ ลงแรงกันหน่อย

    แนวทางนั้นคือการทำพื้นที่รอยต่อของแปลงปลูกป่าหรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรบางส่วนให้เป็นพื้นที่ธรรมชาติ ผมขอเรียกมันว่า “ธรรมชาติชายขอบ”

    ธรรมชาติชายขอบ

    ที่ประเทศอังกฤษมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์น้อยมากคิดเป็นแค่ 2.2%  ผืนดินส่วนใหญ่เป็นไร่นาที่มีเจ้าของ

    รัฐบาลอังกฤษและองค์กรอนุรักษ์สนับสนุนให้ชาวไร่เว้นที่ชายขอบ (Field Margin) ประมาณ 6-8 เมตร ให้เป็นพุ่มไม้ พงหญ้า หรือปลูกดอกไม้แซม โดยที่ไม่ถาง ไม่ฉีดยา ไม่เผา พื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นที่อยู่ของแมลงที่เป็นอาหารของนกและสัตว์เลื้อยคลานนาๆชนิด เป็นที่ทำรังวางไข่ของนก เมื่อมีแมลง มีนก มีสัตว์เลื้อยคลานอยู่ สัตว์ผู้ล่าขนาดเล็กก็ตามมา และชายขอบตรงนี้ก็กลายเป็นที่หลบภัยและทางเดินของสัตว์ป่า

    ภาพแสดงพื้นที่เกษตรที่มีป่าขอบและต้นไม้ โดยมีพุ่มหญ้าและไม้ปะปนอยู่ขอบไร่
    Field Margin ในอังกฤษ กั้นระหว่างไร่นา เป็นที่อยู่อาศัยของแมลง, นก และสัตว์นานาชนิด
    เส้นทางที่มีดอกไม้ป่าเต็มไปด้วยสีสันสวยงาม ล้อมรอบด้วยทุ่งนาและต้นไม้ในระยะไกล
    พื้นที่ชายขอบ (Field Margin) ในอังกฤษ รัฐบาลและองค์กรอนุรักษ์สนับสนุนให้ปลูกไม้ดอกตามธรรมชาติเพื่อให้เป็นอาหารแมลงผสมเกสรเช่นผึ้ง

    ที่ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเกือบทั้งประเทศเป็นไร่นา มีป่าของรัฐอยู่เพียง 5% รัฐบาลกำหนดให้ทุกขอบไร่จะต้องมีไม้ยืนต้นและไม้พุ่มให้เป็นที่อยู่อาศัย ของสัตว์ป่า เพียงเท่านี้เขาก็มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ในไร่นามากมาย

    ภาพถ่ายทุ่งนาที่มีแสงพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ทิวทัศน์ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบ การปลูกพืชในพื้นดินที่มีความสดชื่นสวยงาม
    พื้นที่ชายขอบไร่ ที่รัฐบาลเดนมาร์กกำหนดให้ปลูกไม้ยืนต้นและไม้พุ่มเพื่อบังลมและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์

    ล่าสุดรัฐบาลเดนมาร์กต้องการลดพื้นที่การเกษตรลงเพื่อลดการปล่อยไนโตรเจนลงแหล่งน้ำ เขาจึงออกกฎหมายบังคับให้เปลี่ยนไร่นา ประมาณ 10% ของทั้งหมดให้เป็นป่าเศรษฐกิจที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยมีการจ่ายเงินสนับสนุนและชดเชยรายได้ให้ แต่ก็มีข้อแม้ว่าจะต้องปลูกต้นไม้ธรรมชาติและไม้พุ่มชนิดที่เขากำหนดเป็นพื้นที่ 15 เมตรระหว่างชายขอบที่ดินกับแปลงปลูกป่า

    ทุ่งนาเขียวขจีที่มีต้นไม้และน้ำอยู่ด้านหลังในยามเย็น
    นอกจากป่าชายขอบแล้ว เขายังสร้างแหล่งน้ำที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสัตว์ป่าอีกด้วย

    และยังมีประเทศอื่นๆทำเช่นนี้อีกมากมายมานานนับสิบนับร้อยปีแล้ว 

    ภาพแสดงโครงสร้างของขอบแปลงเกษตร ซึ่งประกอบด้วยต้นไม้ ช่องว่าง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชพันธุ์ในพื้นที่เกษตรกรรม
    ป่าชายขอบ (Field Margin) เป็นสิ่งที่มีการศึกษาและใช้จริงในยุโรปอย่างได้ผลมาแล้วหลายสิบปี

    ลองมาดูอีกตัวอย่างหนึ่งในอเมริกาซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ป่าบ้าง

    Aldo Leopold คนที่ผมขอเรียกว่านักปราชญ์แห่งวงการอนุรักษ์เคยกล่าวไว้ว่า เราสามารถอยู่กับผืนแผ่นดินอย่างยั่งยืนได้โดยการใช้ประโยชน์ 5 อย่างผสมผสานกันไปคือ การเกษตร, ป่าไม้, สัตว์ป่า, ลดการพังทลายของดินใกล้แหล่งน้ำ และ ขายวิวทิวทัศน์ และเขาก็ได้ทำการทดลองให้เห็นจริงไว้หลายโครงการ เช่น Riley Game Cooperative รัฐวิสคอนซินในช่วงปี 1931-1939

    ในขณะที่เป็นอาจารย์ด้าน Wildlife Management อยู่ที่ University of Wisconsin, Aldo Leopold เข้าไป ที่ ชุมชน Riley เพื่อช่วยออกแบบพื้นที่ไร่นาที่ถูกใช้ประโยชน์อย่างหนักจนไม่มีธรรมชาติหลงเหลือ เพื่อช่วยชาวนาที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและการลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาวนากับกลุ่มนักล่าสัตว์ในเมือง

    ต้องเล่าย้อนไปสักหน่อยว่าก่อนหน้านี้ Aldo Leoplod ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้รุ่นแรกของอเมริกาไปทำงานที่ฝั่งตะวันตกของอเมริกานานเกือบ 20 ปี เมื่อกลับมาที่วิสคอนซินบ้านเกิดอีกครั้ง เขาก็พบว่า ธรรมชาติที่เคยมีอยู่กลายเป็นไร่นาไปหมดแล้ว และสัตว์ป่าที่เคยมีก็หายไปด้วย เขาจึงมุ่งเป้าที่จะฟื้นฟูธรรมชาติและสัตว์ป่าให้กลับมาอีกครั้งในพื้นที่การเกษตร 

    ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นหญ้า กำลังดูสิ่งของในมือ มีเครื่องชั่งน้ำหนักตั้งอยู่ข้างหน้า และในฉากหลังมีรถยนต์และเก้าอี้สนาม
    Aldo Leopold คนที่ผมขอเรียกว่านักปราชญ์แห่งวงการอนุรักษ์ เขาถือได้ว่าเป็นบิดาของวิชาการจัดการสัตว์ป่าในโลกนี้

    เขาจัดตั้ง Riley Game Cooperative ขึ้น ความร่วมมือนี้เป็นการลงทุนจากนักล่าสัตว์ชาวเมือง ส่วนชาวนาลงทุนด้วยที่ดิน ทั้งสองฝ่ายช่วยกันลงแรงและความคิด

    Leopold ออกแบบแนวพุ่มไม้ให้เชื่อมต่อกันระหว่างไร่เพื่อให้เป็นที่หลบภัย วางไข่ และเส้นทางเดินของนกไก่ฟ้าที่เป็นเป้าหมายหลัก ประกอบกับการปล่อยนกคืนสู่ธรรมชาติในช่วงแรก และการปลูกอาหารเสริม ฯ โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากจากที่ไม่มีไก่ฟ้าอยู่ในพื้นที่เลย จนมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากในเวลา 5-8 ปี จนสามารถให้ล่าใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่ต้องปล่อยนกเพิ่มอีก และนอกจากนี้ก็ทำให้นกและสัตว์ป่าอื่นๆได้ผลพลอยได้และเพิ่มจำนวนขึ้นเองตามธรรมชาติด้วย

    แผนที่ของโครงการ Riley Game Cooperative ระบุพื้นที่ 171.5 เอเคอร์ ในเคาน์ตี้ Dane, รัฐวิสคอนซิน แสดงข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของพื้นที่ ป่าไม้ และน้ำ
    แผนผังของ Riley Game Cooperation ที่เห็นได้ว่ามีแนวไม้พุ่มเป็นแหล่งอาหารและที่หลบภัยให้กับนกและสัตว์ต่างๆ

    แล้วจะทำยังไงต่อ 

    กลับมาที่บ้านเรากันบ้าง จุดเริ่มต้นที่จะพลิกฟื้นธรรมชาติขึ้นมาได้คือการกำหนดให้มีพื้นที่ธรรมชาติชายขอบนี้ใน พรบ.สวนป่า เป็นเงื่อนไขของการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ 

    ไม่ได้มากมายเลย หากเราจะขอให้กันพื้นที่ของแปลงปลูกป่าเศรษฐกิจที่ชายขอบ ประมาณ 6-8 เมตรให้เป็นพื้นที่ธรรมชาติชายขอบ เมื่อคำนวนดูแล้ว ในพื้นที่ขนาด 20 ไร่ หากกันพื้นที่ขอบ กว้าง 6 เมตรก็จะคิดเป็นเพียง 12.9%ของพื้นที่เท่านั้น 

    ไม่ได้มากมายเลย หากเราจะขอให้กันพื้นที่ของแปลงปลูกป่าเศรษฐกิจที่ชายขอบ ประมาณ 6-8 เมตรให้เป็นธรมชาติชายขอบ เมื่อคำนวนดูแล้ว ในพื้นที่ขนาด 20 ไร่ หากกันพื้นที่ขอบ กว้าง 6 เมตรก็จะคิดเป็นเพียง 12.9%ของพื้นที่เท่านั้น

    พื้นที่ธรรมชาติชายขอบข้างละ 6 เมตร จะกลายเป็น 12 เมตรระหว่างรอยต่อของที่ 2 แปลง เมื่อมีการปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่พ่นยา ไม่ถาง ไม่เผา และอาจจะมีการปลูกพืชธรรมชาติที่หลากหลายให้เป็นอาหารทั้งกับคนและสัตว์ป่าเสริมเข้าไป พื้นที่ตรงนี้จะมีความหลากหลายทางธรรมชาติ เป็นที่อยู่ของแมลงผสมเกสร เป็นแหล่งอาหารและทำรังวางไข่ของนกนานาชนิด เป็นทางเดินและที่หลบภัยของสัตว์ป่าที่สามารถเดินเชื่อมระหว่างป่าอนุรักษ์ที่ถูกตัดขาดออกจากกันเป็นเกาะ

    ภาพจากมุมสูงแสดงพื้นที่เกษตรกรรมที่มีลานกีฬาและลำธารเล็กๆ รายล้อมด้วยต้นไม้
    พื้นที่ธรรมชาติชายขอบ ทำหน้าที่เป็นเหมือนถนนสำหรับสัตว์ป่า เชื่อมพื้นที่อนุรักษ์ที่เป็นเกาะเข้าหากันได้

    เมื่อจะมีการแก้กฎหมาย หากจะมีการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ที่ดินนี้ ต้องกันพื้นที่ 12.9% เพื่อสร้างธรรมชาติชายขอบที่มีประโยชน์มหาศาลเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ก็น่าจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลมิใช่หรือแต่ไม่ใช่เท่านั้น เราควรจะสร้างแรงจูงใจให้คนที่อยู่กับผืนแผ่นดินได้ประโยชน์จากพื้นที่ชายขอบนี้ด้วย

    การสร้างพื้นที่ธรรมชาติชายขอบนี้อาจจะเป็นข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือ การสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถลงทุนปลูกไม้เศรษฐกิจซึ่งจะต้องลงทุนระยะยาวในรูปแบบกองทุน

    หากเราจะสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินให้หันมาดูแลพื้นที่ชายขอบนี้ให้มีธรรมชาติและสัตว์ป่าให้เพิ่มจำนวนขึ้น เราก็ควรให้สิทธิในการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าบางชนิดที่ไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์และเพิ่มจำนวนได้รวดเร็ว เช่น ไก่ป่า, กระต่ายป่า, นกกระทา, หมูป่า หรือแม้แต่เก้ง ถ้าเขาดูแลและทำให้มันเพิ่มจำนวนขึ้นได้จริง (เข้าใจให้ดีก่อนนะครับว่าพื้นที่ที่เราพูดถึงนี้ปัจจุบันคือไร่ข้าวโพดที่เตียนโล่ง ไม่มีสัตว์อะไรหลงเหลืออยู่เลย มีตัวอะไรเพิ่มขึ้นมา ถือว่าเป็นบวกทั้งนั้นครับ) 

    A lush green landscape featuring a line of flowering bushes and trees alongside an open field under a clear blue sky.
    ในอังกฤษเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการสร้างแรงจูงในให้เจ้าของที่ดินฟื้นฟูธรรมชาติเพื่อได้ใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่า

    เราจะได้อะไรอีกจากธรรมชาติชายขอบ ?

    นอกจากเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าแล้ว ป่าชายขอบนี้เมื่ออยู่ริมชายน้ำ ก็จะลดการพังทะลายของดิน กรองตะกอนที่จะไหลลงไปสู่ลำธารและแหล่งน้ำ 

    ป่าชายขอบจะกลายเป็นธรรมชาติใกล้บ้านที่คนในพื้นที่หาอาหารธรรมชาติเช่นผักป่า หน่อไม้ หรือเห็ดได้ตลอดปี เมื่อมีดอกไม้ธรรมชาติก็สามารถทำอาชีพเสริมเช่นการเลี้ยงผึ้งได้อีก

    เมื่อป่าฟื้นฟูขึ้นแทนที่ไร่อันเตียนโล่ง สัตว์ป่าเริ่มกลับมาอยู่ แน่นอนพื้นที่ก็ย่อมสวยงามขึ้น และนั่นก็คือโอกาสของการใช้พื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ป่าชายขอบเองอาจจะกลายเป็นเส้นทางเดินป่าที่ต่อเชื่อมกันเป็นระยะทางไกลๆท่ัวประเทศไทย

    นอกจากนี้ นี่คือโอกาสในสร้างอาชีพอีกมากมายในการจัดการธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจัดการป่าไม้, การจัดการสัตว์ป่า, การท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ เรามีคนที่เรียนจบเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหล่านี้กันมาเยอะมาก และนี่คือโอกาสที่เขาจะได้แสดงฝีมือทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ

    ลองดู VDO นี้นะครับ ว่าประเทศที่มีการจัดการสัตว์ป่าที่เหมาะสม เขาสามารถสร้างงานที่มีความหมายได้ขนาดไหน

    ทั้งเรื่องอาหารธรรมชาติที่หาได้จากชายขอบ, การใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่า, อาชีพเสริมต่าง และการท่องเที่ยว ล้วนเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เสริมไประหว่างการลงทุนระยะยาวกับการปลูกไม้เศรษฐกิจที่จะต้องใช้เวลานับสิบปี

    ที่สำคัญที่สุด เมื่อทุกแปลงมีป่าชายขอบต่อๆกันไปมันก็จะกลายเป็นทางเดินธรรมชาติที่เชื่อมต่อป่าอนุรักษ์ที่เคยถูกตัดขาดจากกัน ทำให้สัตว์ป่าที่เคยติดเกาะสามารถเดินผ่านไปหากันได้ ลดปัญหาสัตว์ป่าล้นบางพื้นที่และปัญหาเลือดชิดลงไป


    แล้วเราจะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

    สิ่งแรกที่ควรทำคือการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของป่าชายขอบนี้ และผนวกมันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ พรบ.สวนป่าก่อนที่กฎหมายนี้จะผ่านออกมา มันคือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูให้เราก้าวเดินต่อไป 

    การเพิ่มพื้นที่ป่าชายขอบเข้าไปใน พรบ.สวนป่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันสามารถพลิกฟื้นธรรมชาติของประเทศไทยได้เลยทีเดียว โอกาสเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน

    นอกจากแก้กฎหมายที่เป็นขั้นแรกแล้วยังมีอย่างอื่นต้องทำกันอีกมาก

    อย่างแรก และปัญหาใหญ่ที่สุดคือการสร้างความเช้าใจเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติที่ถูกต้องให้กับคนในสังคม 

    เราควรเข้าใจกันก่อนว่า การอนุรักษ์ธรรมชาตินั้นต้องควบคู่ไปกับความสมดุลย์ทางเศรษฐศาสตร์ด้วย นั่นคือต้องมีการใช้ประโยชน์ มีผลตอบแทนจากการอนุรักษ์ ถ้าผลตอบแทนของการมีป่าสูงกว่าไร่ข้าวโพด เขาก็จะปลูกป่าแทน แต่ต้องแยกกันว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งคือพื้นที่สงวน ไม่ควรแตะต้อง ซึ่งตอนนี้เราก็มีอยู่แล้วคืออุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต่างๆ 

    แต่พื้นที่ที่เราพูดถึงกันอยู่นี่ไม่ใช่เขตสงวน เขตอนุรักษ์ แต่มันคือพื้นที่การเกษตร ที่เราต้องการจะฟื้นฟูธรรมชาติจากศูนย์ขึ้นมาแล้วใช้ประโยชน์ผืนแผ่นดินให้คุ้มค่าขึ้น

    เราต้องแก้ไขความเข้าใจที่สร้างกันมาสุดโต่งอีกหลายๆอย่าง เช่นการทำไม้ใช้ไม้เป็นเรื่องผิด ทั้งๆที่ไม้ที่จัดการถูกต้องคือวัสดุที่เป็นมิตรต่อโลกที่สุดแล้ว มันดูดซับคาร์บอนในระว่างที่เติบโตแปรรูปโดยใช้พลังงานน้อย เป็นมิตรกว่าปูนกว่าเหล็กที่เราใช้กันมากนัก

    ที่ยากกว่าคือการที่จะเรียนรู้และยอมรับการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่า เพราะเราถูกสอนมาว่าเป็นเรื่องผิดมาตลอดชีวิต (ผมก็เช่นกัน)  แต่จริงๆแล้วในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ประเทศที่คิดเหมือนเราทำแบบเรา และประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวในการจัดการสัตว์ป่าทั้งสิ้น ส่วนประเทศอื่นๆที่เขามีการจัดการสัตว์ป่าที่เหมาะสมและใช้ประโยชน์จากมันกลับมีสัตว์ป่าเพิ่มมากขึ้น สัตว์ป่าขยายพันธุ์ได้ในธรรมชาติอย่างมีความสุขกว่าแบบเราๆมาก เอาไว้ค่อยเขียนเรื่องนี้กันอีกหลายๆตอนนะครับ 

    จากนั้นก็คงเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างราชการที่ต้องเข้ามาจัดการ 

    พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานอนุรักษ์อย่างเช่นกรมอุทยาน เพราะมันอยู่นอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ อาจจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตร แต่กระทรวงเกษตรนั้นมุ่งเน้น ไม่ได้มีพันธกิจในด้านการอนุรักษ์, ฟื้นฟูและใช้ประโยชน์ธรรมชาติ นอกจากนี้บุคลากรที่มีความรู้ทางด้านนี้เช่นการจัดการป่าไม้, การจัดการสัตว์ป่าล้วนแล้วแต่อยู่ในกรมอุทยานและกรมป่าไม้ทั้งสิ้น หากจะเดินหน้าได้คงต้องคิดกันใหม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของงาน

    บทความเล็กๆนี้ ผมอยากจะนำเสนอแนวความคิดที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติได้ โดยหวังว่าจะมีผู้เห็นด้วยและช่วยกันผลักดันให้ สส.ที่ผมชื่นชมว่ามีความตั้งใจดีที่จะแก้ไข พรบ.สวนป่านี้ให้พิจารณาเพิ่มเติมการฟื้นฟูธรรมชาติเข้าไปด้วยทำให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก

    ผู้ชายจำนวนสี่คนในชุดทางการกำลังยืนอยู่ในห้องประชุม พร้อมกับเอกสารที่มีข้อความอยู่ในมือ
    ส.ส. นายมานพ คีรีภูวดล เป็นผู้ผลักดันและยกร่างเสนอต่อรองประธานสภาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมนำเสนอแนวคิดนี้ช้าไปหน่อย แต่หวังว่าจะไม่ช้าเกินไป

    นี่คือความหวังของการฟื้นฟูธรรมชาติครับ

    ตาเกิ้น

    สิงหาคม 2568

  • Alaska ความทรงจำที่งดงามจะอยู่ตลอดไป

    ผมกับภรรยาเคยได้ไปอลาสก้ากันเมื่อ 30 ปีก่อน เราไปกันแค่ 2 คนเพราะตอนนั้นลูกชายยังเล็กมากและลูกสาวยังไม่ได้เกิด

    เราเล่าให้ลูกๆฟังมาตลอดถึงความงดงามของธรรมชาติ, ความกว้างใหญ่ของแผ่นดินที่ยังคงดิบอยู่, ความหนาวเย็น หรือแม้กระทั่งยุงที่ตัวโตและเยอะราวกับจะดูดเลือดเราได้หมดตัว ฯลฯ

    เราคุยกันเรื่องไปอลาสก้ามาร่วมสิบปี แต่ยังไม่ได้ไปเพราะความไม่พร้อมในเรื่องเวลา และเรื่องอื่นๆ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานมา เราก็รู้สึกว่าโอกาสที่จะเที่ยวกันทั้งครอบครัวสี่คนน่าจะยากมากขึ้นเรื่อย หรืออาจจะไม่มีอีกแล้ว 

    เราจึงไปอลาสก้ากัน

    ในวันปรกติ เราทั้ง 4 คนแม้จะใกล้ชิดกัน แต่ลูกทั้งสองก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ถึงเวลาที่มีชีวิตของตัวเอง มีความชอบที่แตกต่าง  ดังนั้นการที่ได้เดินทางและอยู่ด้วยกันยาวนานถึง 17 วันในทริปนี้จึงเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับความสัมพันธ์ของครอบครัวเรา

    เราได้ไปพบกับตามงดงาม, ธรรมชาติแบบดิบๆ,​ วัฒนธรรมกลางแจ้งของชาว Alaska,​ ได้เรียนรู้อะไรมากมาย เปิดโลกกว้างไปด้วยกัน และได้เพื่อนใหม่กลับมาอีกหลายคน

    และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เลื่อนตำแหน่ง 

    เลื่อนจากคนที่เคยขับรถพาลูกเที่ยว มาเป็นคนนั่งข้างหลังให้ลูกพาเที่ยว และก็รู้สึกได้เลยว่าเขาทั้งสองตั้งใจดูแลเราแล้ว

    นี่คือทริปที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต  รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การที่ได้เฝ้ามองพวกเขา เดินตาม มองเขาจากด้านหลังอย่างชื่นชม ในฐานะพ่อแม่ ผมบอกกับภรรยาว่าเราสองคนคงได้ทำหน้าที่มาถูกต้องบ้างแล้ว

    การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมคิดถึงตอนที่พ่อไปหาผมก่อนที่ผมจะเรียนจบ นึกย้อนดูแล้วพ่อก็อายุเท่าๆกับผมตอนนี้พอดีๆ

    ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำหน้าที่ขับรถพาพ่อเที่ยว และผมก็รู้สึกได้ว่าพ่อมีความสุขมาก มาถึงตอนนีผมอยากจะบอกพ่อว่า “พ่อครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”

    เมื่อทริปใกล้จะจบลง มีความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผม คืออยากจะให้ช่วงเวลาที่งดงามนี้คงอยู่ตลอดไป 

    ถึงแม้จะหยุดเวลาไว้ไม่ได้ แต่ทริปนี้จะเป็นความทรงจำแห่งความสุขที่อยู่ในใจผมตลอดไป

    ตาเกิ้น

    16 มิถุนายน 2568

    Life is so beautiful, live it.

    ป.ล. จะมี บทความ, Podcast และ VDO ตามออกมาอีกหลายอัน รอติดตามได้ครับ

  • การอนุรักษ์ที่หลงทิศผิดทาง

    การอนุรักษ์ที่หลงทิศผิดทาง

    ประเทศเราพยายามอนุรักษ์ธรรมชาติมานานกว่า 60 ปี เริ่มต้นถูกทิศ แต่ไปๆมาๆแล้วเดินผิดทาง

    ตั้งแต่แรกเริ่มการอนุรักษ์ เราลอกกฎหมายและวางแผนการจัดการตามแบบอเมริกาทั้งหมด มีเป้าหมายที่จะรักษาและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นป่าไม่และสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน มีการจัดการที่ดี

    ระหว่างทางนั้นการปฏิบัติล้มเหลว แนวความคิดเดิมที่ถูกต้องถูกกลืนทับไปด้วยการแปลความหมายการอนุรักษ์ผิดๆว่าคือการห้ามแตะต้องธรรมชาติ ปลูกฟังความคิดผิดๆนั้นมาตลอดหลายสิบปี จนผู้คนออกห่างธรรมชาติ ไม่เข้าใจธรรมชาติเลย และธรรมชาติไม่ได้มีประโยชน์กับคนอีกต่อไปนอกจากจะเอาไว้เขียนถึงในคอมเม้นท์กันเท่ห์ๆว่ารักธรรมชาติ

    แม้ว่าเราจะรักษาธรรมชาติไว้ได้ส่วนหนึ่ง แต่สถานการณ์ข้างหน้าดูจะเลวร้ายครับ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกตัดถางเพียงเพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์ราคาถูก และลามไปมากขึ้นเรื่อยๆ เราได้รับผลกระทบกันโดยตรง ฤดูร้อนที่ร้อนจัด ฤดูฝนที่ตกลงมาเพียงเล็กน้อยก็ท่วมหลาก ฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ฯลฯ 

    สัตว์ป่าเองที่ดูเหมือนเยอะ ก็แค่ 3 ชนิด ที่เหลืออีกนับพันชนิดสูญหายไปจากหลายพื้นที่ และที่หนักที่สุดคือไม่มีใครสนใจ ที่มีเยอะเกินไปมากคือช้าง,กระทิง และเหี้ย ก็ไม่มีการจัดการปล่อยให้เดือดร้อนกันไปทั้งคนและสัตว์ การอนุรักษ์สัตว์ป่าของเราคือแค่ห้ามล่าและห้ามครอบครองซากสัตว์ป่า แต่ไม่เคยสนใจว่ามันมีที่อยู่ มาอาหาร และขยายพันธุ์เองได้มั๊ย อยู่ดีกินดีแค่ไหน คนส่วนใหญ่ก็แค่บอกว่ารักน้อนแต่ไม่เคยลงมือทำอะไร

    เรากำลังเดินผิดทางครับ จะดื้อดึงกันไปถึงไหน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ใช้วิธีการแบบประเทศไทยแล้วประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์เลย และอย่าหลงตัวเองว่าเราประสบความสำเร็จแล้วนะครับ

    เราต้องมองไปรอบโลกบ้าง การอนุรักษ์หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จได้คือการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ แล้วเอาเงินที่ได้มาดูแลจัดการธรรมชาติให้อยู่ได้ ฟื้นฟูธรรมชาติให้ดีกว่าเดิม เมื่อผู้คนได้ประโยชน์จากธรรมชาติ เลี้ยงตัวได้จากมัน ทำเงินเลี้ยงครอบครัวจากมัน เมื่อนั้นเขาจะรักมันจริง, เข้าใจจริง และลงมือทำจริงๆ 

    ลองดูตัวอย่างอันนี้ 

    ผมได้ดู VDO หนึ่งขององค์กรเล็กๆชื่อว่า Quail Forever ในอเมริกา ความคิดและการกระทำของเขาน่าทึ่งมากครับ ลองดู VDO จากลิ้งค์ในคอมเม้นท์ได้ 

    ถ้าจะเล่าที่มาสั้นๆ ก็คือว่า Quail เป็นนกในกลุ่มนกกระทาที่นิยมเป็น Game Bird สำหรับนักยิงนกในอเมริกามาช้านาน การยิงนกในอเมริกานั้นสร้างรายได้ให้กับรัฐมหาศาล สร้างรายได้ให้กับผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่, โรงแรม, ร้านอาหาร, ไกด์นำล่านก, อุตสหกรรมหมาล่านก ฯลฯ

    ลองอ่านดูนะครับว่าแค่การล่านก Quail อย่างเดียวสร้างรายได้ให้กับพื้นที่ขนาดไหน นี่แค่ Region เดียวนะครับ

    ถึงแม้จะโดนล่า ก็ไม่ต้องกลัวนกสูญพันธุ์หรอกครับ เพราะนกนั้นมีความสามารถในการขยายพันธุ์สูงมาก ถ้าได้รับการดูแล มีที่อยู่ มีอาหาร Quail จากคู่เดียว สามารถเพิ่มเป็น 5,000 ตัวในเวลาเพียง 5 ปี

    นก Quail และนก Game Bird อีกมากมายหลายชนิดจึงถูกดูแล พื้นดินที่เคยว่างเปล่าถูกฟื้นฟูธรรมชาติให้นกอยู่ได้ และขยายพันธุ์เพิ่มจำนวน 

    Quail Forever นั้นเป็นองค์กรอิสระแบบ Non-Profit ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ (ซึ่งก็มาจากค่าใบอนุญาตล่าสัตว์) และเงินบริจาค (จากคนที่ชอบยิงนก Quail)  Quail Forever ทำงานให้คำแนะนำ สนับสนุน และลงมือทำเพื่อให้นก Quail อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย การปรับปรุงสภาพแวดล้อม การให้คำแนะนำชาวไร่ให้ฟื้นฟูธรรมชาติให้นก ฯลฯ


    ลองดูใน VDO นะครับ เขารู้จักนก เข้าใจสภาพแวดล้อมที่นกต้องการดีมากๆ และลงมือทำจริงๆ

    นี่คือตัวอย่างที่ดีครับ ว่าถ้าเรามีการจัดการที่ดี และมีการให้ประโยชน์จากสัตว์ป่าอย่างถูกต้อง

    สัตว์ป่าชนิดนั้นจะมีค่าทำให้คนช่วยกันดูแลมันให้คงอยู่และเพิ่มจำนวนขึ้น ในกรณีนี้คือนก Quail เงินที่ได้จากการใช้ประโยชน์สัตว์ป่าจะกลับมาทำการวิจัยให้เข้าใจสัตว์ชนิดนั้นๆอย่างจริงจัง เป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของที่ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สภาพธรรมชาติฟื้นฟูเป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของนก มีเงินสนับสนุนองค์กรอิสระให้มุ่งเป้าไปที่การเพิ่มประชากรสัตว์ป่าอย่างมีความรู้และมีคุณภาพ

    ผมอิจฉานก Quail แทน ไก่ป่า, ไก่ฟ้า, นกกระทาทุ่งในบ้านเราจริงๆครับ ที่มีแต่คนบอกว่ารักน้อน พวกใจร้ายอย่าทำอะไรน้อน แต่ไม่เคยเห็นหัวว่าน้อนจะอยู่กันได้ยังไง

  • Cowboy in me

    ความเหน็ดเหนื่อยและหิวโหยเชิญชวนให้ผมเลี้ยวจากถนนที่มืดสลัวเข้าไปหาที่พักสำหรับคืนนี้ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย

    ภาพจากภายในรถขณะขับขี่ในเวลากลางคืน แสดงอุปกรณ์มาตรวัดความเร็วและเข็มมุมรายงาน สภาพถนนมืดและมีแสงไฟจากป้ายจราจรและรถข้างเคียง

    การเดินทางเร่ร่อนเช่นนี้ดูเหมือนจะเกิดกับผมบ่อยขึ้นจนเริ่มคุ้นชิน ด้วยเป้าหมายในใจที่ถ้าอธิบายไปก็คงมีน้อยคนที่จะเข้าใจ และบางครั้งผมก็ล้มเหลวที่จะให้เหตุผลที่สมควรกับตัวเอง

    ชายคนหนึ่งที่ใส่หมวกเดินอยู่ในป่าเขียวชอุ่ม ท่ามกลางธรรมชาติที่มีพืชพรรณหนาทึบและลำธาร
    ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ผมเดินป่าอยู่บนเกาะช้างจังหวัดตราด

    เพลงในวิทยุที่ดังขึ้นพอดีอาจจะอธิบายวิถีชีวิตเช่นนี้ได้

    มันอาจจะเป็นพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากการดูภาพยนต์คาวบอยมากเกินไปในวัยเด็ก

    ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตาไฟกลางแจ้ง พยายามทำให้มืออบอุ่นในขณะที่มีหม้อที่ตั้งอยู่บนไฟ
    ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดอย่างหนึ่งคือการได้พักจากการเดินทาง ให้ห่างไกลผู้คน

    แม้จะพอรู้ว่าวีรบุรุษคาวบอยนั้นเป็นเพียงบทบาทสมมุติที่ใหญ่เกินชีวิตจริง แต่สิ่งที่พวกเขาก็ทิ้งร่องรอยไว้กับเด็กชายที่เฝ้าดูหน้าจอทีวีไม่ใช่ cosplay หมวกปีกกว้างและเข็มขัดปืน แต่เป็นความรักในชีวิตการเดินทางที่อิสระ ความเชื่อที่จะต้องยึดมั่นต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และรถเก่าๆที่ทำหน้าที่เสมือนม้าคู่ใจ

    ในยุคสมัยที่คนชั่วครองเมือง และคนส่วนใหญ่หลงอยู่ในโลกเสมือนและสิ่งสมมุติ

    มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับคาวบอยชราคนนี้ที่จะตระเวนไปทำสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้บ้าง สักเล็กน้อย แม้จะเป็นเพียงในสายตาของเขาเอง

    ผู้ชายเดินอยู่ในป่าเขียวขจี พร้อมกระเป๋าเป้ที่สดใส ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องลงมา

    I guess that just the Cowboy in Me.

    ตาเกิ้น

    3 เมษายน 2568

    พลง Cowboy in Me โดย Tim McGraw



  • หมู่บ้านในนิทาน

    หมู่บ้านในนิทาน

    ในขณะที่แทบทุกพื้นที่ของประเทศนี้ร้อนระอุ, ไฟไหม้, เต็มไปด้วยฝุ่นควันพิษ, โซเชี่ยลมีเดีย เต็มไปด้วยข่าวร้าย ยิ่งมองผู้นำระดับประเทศก็ยิ่งดูเหมือนจะหมดหวัง ผมได้ไปเจอพื้นที่เร้นลับเหมือนโอเอซิสทางใจ ที่อาจจะเรียกได้ว่า “หมู่บ้านในนิทาน”

    แม้จะเป็นเดือนเมษายน ที่นั่นอากาศกลางวันเย็นสบาย กลางคืนถึงกับหนาว 15-16 องศา อากาศใสสะอาดไม่มีไฟป่า ไม่มีฝุ่นควัน  ผู้คนรักและทวงแหนธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ รู้จักใช้ธรรมชาติอย่างยั่งยืน ผู้นำชุมชนเข้มแข็ง รักบ้านเกิด และทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ข้าราชการหลายหน่วยงานทุ่มเทเพื่อช่วยให้ชุมชนอยู่ดีกินดี

    อาจจะฟังดูเหมือนนิทาน แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ และที่นั่นคือตำบลแม่เหาะ ในอำเภอแม่สะเรียง

    แม่เหาะเสมือนเป็นพื้นที่จำลองของเมืองไทยแต่เก่าก่อน เหมือนย้อนเวลาไปสัก 40 ปี อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่า ฝนตกต้องตามฤดูกาล หนาวจัดในหน้าหนาวอย่างที่มันควรจะเป็น 

    ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะชาวแม่เหาะดูแลรักษาป่าในพื้นที่ของเขาเองมาหลายชั่วอายุคน พื้นที่ในตำบลนี้เป็นป่าถึงประมาณ 70% โดยที่เกือบทั้งหมดเป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านดูแลกันเอง มีเพียงวนอุทยานเล็กๆอยู่ 2 แห่ง

    นี่คือตัวอย่างจริงที่ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ผืนป่ามีผลอย่างไรกับสภาพอากาศ และคุณภาพชีวิต

    วิวมุมกว้างของเทือกเขาและป่าเขียวชอุ่มใน อำเภอแม่สะเรียง โดยมีท้องฟ้าสีฟ้าใสเหนือยอดเขา
    จุดชมวิวดอยหัวสิง ห่างจากชุมชนแค่ 2 กิโลเมตร มองเห็นผืนป่าที่สมบูรณ์ของตำบลแม่เหาะ อากาศใสมาก ไม่มีฝุ่นควัน ในฤดูฝน ฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกอีกด้วย

    ผมมีโอกาสดีมากที่ได้มาร่วมสำรวจเส้นทางเดินป่าที่แม่เหาะนี้ เราเดินสำรวจเส้นทาง ได้ระยะทาง 25 กิโลเมตร ในป่าที่สมบูรณ์และงดงามของชุมชน บริเวณใกล้หมู่บ้านก็มีไร่กาแฟปลูกแซมอยู่ในผืนป่า, ในบริเวณป่าที่เป็นต้นน้ำเราได้เห็นน้ำผุดขึ้นมาจากตาน้ำ,​ ตลอดเส้นทางพี่ๆคนนำทางก็ชี้ให้เราดูพันธุ์ไม้ที่มีทั้งแบบสวยงามและแบบกินอร่อย, หลายจุดสมบูรณ์เหมือนป่าโบราณ ต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปด้วยมอสเฟิร์น และเมื่อขึ้นไปที่จุดชมวิวเราก็มองได้กว้างรอบทิศเห็นป่าเขียวชะอุ่ม

    ภาพแสดงการเดินเขาในพื้นที่ป่าเขียวขจี สถานที่ดูออกเป็นเนินเขารายล้อมไปด้วยต้นไม้ ผู้คนกำลังยืนอยู่บนชั้นหินชมวิวไกลออกไป
    จุดชมวิวดอยหม้อนึ่ง

    ขณะที่เดินกันในบ่ายวันหนึ่ง เราโชคดีที่มีฝนโปรยปรายลงมา หลังจากฝนหยุดไม่นานเราได้เห็นหมอกและไอน้ำปกคลุมผืนป่าและทิวเขาสลับซับซ้อน งดงามเกินบรรยาย

    ทิวทัศน์ของภูเขาและป่าที่เขียวชอุ่ม แสดงถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์ มีหมอกปกคลุม และดอกไม้ประดับอยู่ในforeground

    ใครจะเชื่อว่ากลางเดือนเมษาเช่นนี้ในแค้มป์เราจะต้องผิงไฟ เมื่อแยกย้ายไปนอน ถุงนอนชั้นดีก็แทบจะเอาไม่อยู่ ถ้าเป็นฤดูหนาว เขาว่ากันว่าหนาวถึง -2 เป็นเรื่องปรกติ

    ชายสองคนพักผ่อนในป่าขณะทำอาหารอยู่ใกล้ไฟแคมป์ มีคนอื่นยืนอยู่ด้านหลังในบรรยากาศของป่าเขียวชอุ่ม
    ใครจะเชื่อว่า เดือนเมษายนต้องผิงไฟ

    การสำรวจเส้นทางนี้นำโดย กำนันประเสริฐ ใสสะอาด คนที่รักป่า ภูมิใจในชุมชนบ้านเกิด อยากจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้กับคนในชุมชน พร้อมๆไปกับเปิดให้คนนอกได้เข้ามาเห็นความงามของป่าแม่เหาะ  

    สองนักเดินป่าถ่ายภาพร่วมกันในป่าเขียวขจี ข้างหลังเป็นพรรณไม้ที่เขียวสด ดูเหมือนในรัฐธรรมชาติ
    กำนันประเสริฐ​ผู้นำการสำรวจเส้นทางครั้งนี้

    ตลอดเวลาที่เดินไปด้วยกัน กำนันและชาวบ้านที่มาด้วยกัน เล่าให้เราฟังอย่างภาคภูมิใจว่าพวกเขาแบ่งพื้นที่จัดการเป็นป่าบวช (เขตสงวนห้ามใช้ประโยชน์), เขตอนุรักษ์ และป่าใช้สอย ซึ่งทำให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์จากป่าโดยไม่ทำลาย  การที่ได้รับประโยชน์จากป่าเช่นนี้ ทำให้ทุกคนก็จะช่วยกันรักษาป่า ช่วยกันเฝ้าระวังดูแล หากมีไฟป่าที่ไหนสักจุดก็จะมีชาวบ้านนับร้อยจะมาช่วยกันดับไฟโดยไม่ต้องมีใครจ้าง

    เส้นทางน้ำไหลผ่านป่าเขียวขจี มีหินขนาดใหญ่และใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่รอบๆ
    ป่าบวชของแม่เหาะ เป็นป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์มาก น้ำไหลใสสะอาดตลอดปี
    มือสองข้างของบุคคลถือปลาสองตัวในน้ำ สภาพมือสกปรกมีน้ำติดอยู่
    ลูกอ๊อดตัวขนาดนี้ กบจะตัวขนาดไหน ในป่าของแม่เหาะมีอาหารธรรมชาติที่เขาหากินกันได้ตลอดปี

    เส้นทางเดินป่านี้ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยระยะทาง 25 กิโลเมตร และจุดชมวิวที่น่าสนใจ มันเหมาะมากที่จะเป็นเส้นทางสำหรับ 3 วัน 2 คืน จะพร้อมเปิดให้ไปเดินได้ตั้งแต่ปลายฝน ราวๆต้นเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป 

    นักเดินป่าทั้งสองยืนอยู่ในพื้นที่ป่าที่เขียวชอุ่มท่ามกลางธรรมชาติ บริเวณด้านหลังมีภูเขาและท้องฟ้าสดใส

    ผมอยากจะชวนเพื่อนๆไปเที่ยวแม่เหาะ ไปสัมผัสความงาม ความสมบูรณ์ของผืนป่า ความน่ารักเป็นมิตรของผู้คน ไปฟังเรื่องราวของการรักษาป่าที่ควรจะได้รับการถอดแบบเรียนมาเป็นตัวอย่างให้กับชุมชนอื่นๆของประเทศ

    ใครสนใจ ไปติดตามเพจเดินป่าตำบลแม่เหาะเพื่อรับข่าวการเปิดเส้นทางหรือจะติดต่อจองล่วงหน้าไว้เลยก็อาจจะได้

    ผมได้มารู้จักแม่เหาะจากคำชวนของคุณบี จากหน่วยงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่นำทีมมาช่วยเหลือชุมชนในการจัดการท่องเที่ยว  ไปถึงแม่เหาะก็ได้รับการดูแลอย่างดี จาก ผอ.จี และเจ้าหน้าที่ทุกคนในศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นหน่วยงานในพื้นที่ ที่ต้ังใจช่วยเหลือชุมชนอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องการท่องเที่ยว และเรื่องอื่นๆ

    บอกเลยครับว่าได้ไปเดินป่าเที่ยวนี้อิ่มใจมากๆ ได้เห็นป่าสวยๆ ชุมชนที่รักป่า ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง ข้าราชการที่ทุ่มเทเพื่อช่วยชาวบ้าน อยากจะฝันให้ทั้งประเทศเราเป็นอย่างนี้เลยครับ

    ภาพถนนในตำบลแม่เหาะ มีรถบัสและผู้คนเดินอยู่ริมถนน ป้ายไม้เป็นทางเข้าหมู่บ้านและมีภูเขาในพื้นหลัง
    การเดินทางไปแม่เหาะ สะดวกมากครับ นั่งรถทัวร์ กรุงเทพแม่ฮ่องสอน แล้วลงที่แม่เหาะ แบกเป้ข้ามถนนเข้าป่าได้เลย

    ใครรอไปเดินป่าเดือนพฤศจิกายนไม่ไหว อยากหนีฝุ่นควัน ไปแค้มป์ที่อากาศดีๆ ลองติดต่อไปขอกางเต็นท์ที่ ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงที่แม่เหาะก่อนก็น่าจะพอได้ครับ ที่ศูนย์กำลังจะจัดพื้นที่ลานกางเต็นท์ให้ทันปลายปีนี้ แต่ตอนนี้ก็มีหลายจุดที่พอจะกางได้แบบง่ายๆครับ

    ตาเกิ้น

    9 เมษายน 2568

    ป.ล. ผมถ่ายภาพนิ่งมาไม่มากนัก แต่เดี๋ยวรอชม VDO กันนะครับ

  • โลกเล็กๆของชนกลุ่มน้อย

    โลกเล็กๆของชนกลุ่มน้อย

    ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้รู้จักมิตรสหายรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักอยู่หลายท่าน

    ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีอายุมากกว่าผม 15-20 ปี พวกเขามีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันไปอย่างที่ไม่น่าจะเจอกันได้ แต่ที่มีเหมือนกันคือพวกเขาคือคนรุ่นสุดท้ายที่มีโอกาสได้สัมผัสป่าดงของเมืองไทยในสมัยที่ยังอุดมสมบูรณ์ ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องสมมุติที่เราๆทำกันอยู่ทุกวันนี้ ได้เข้าใจกลไกของธรรมชาติที่ยากนักจะให้คนรุ่นเราเข้าใจได้

    พวกเขาสั่งสมประสบการณ์มากมาย ได้เห็นจริง ได้เข้าใจสิ่งที่เราเรียกมันว่า “ชีวิตกลางแจ้ง”​ แล้วก็หลงรักวิถีเช่นนี้จนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

    คืนหนึ่งที่รอบกองไฟชายป่า ผมเอ่ยปากถามพี่ที่เคารพสองท่าน ถึงสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจผมมานาน

    “พี่ครับ

    ผมรู้สึกว่าถ้าเราใช้ชีวิตกลางแจ้งแบบนี้ แล้วหลงรักมันมากขึ้น เราจะเดินห่างออกจากสังคมไกลออกไปเรื่อยๆ คุยกับใครไม่รู้เรื่อง แม้แต่คนใกล้ตัว

    ออกจากป่ามา เรื่องที่คนเขาคุยกันเราก็ไม่สนใจจะฟัง เรื่องที่เราอยากจะคุยจะเล่าก็ไม่มีใครอยากฟัง อธิบายอะไรที่เราได้เห็นได้รู้สึก ก็ไม่มีคนเข้าใจ มันเหมือนเรามาจากอีกโลกหนึ่ง

    พี่ๆทำยังไงครับ”

    ผมถามคำถามนี้ พร้อมกับนึกถึง ซี่รี่ย์ 3rd Rock from the Sun ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว 4 คนที่ปลอมตัวมาปะปนอยู่กับมนุษย์แล้วพยายามจะเข้าใจมนุษย์

    พี่ๆทั้ง 2 ท่านหัวเราะ อย่างที่ผมรู้ได้เลยว่าพวกเขาเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังรู้สึก

    “เวลาอยู่ในเมือง ก็ต้องปรับตัวครับ ใครเขาจะชอบอะไร ทำอะไร ก็ต้องตามๆเขาไป ไปขัดหมดทุกเรื่องไม่ได้หรอก เรามันเหมือนชนกลุ่มน้อย”

    “แล้วเราก็ต้องมีกลุ่มคนแบบนี้ คนที่เข้าใจกัน แล้วก็หาเวลามาอยู่ด้วยกันครับ”

    ตาเกิ้น

    17 มีนาคม 2568

  • พ่อเฒ่ากับเจ้าหนูอีกสักครั้ง

    พ่อเฒ่ากับเจ้าหนูอีกสักครั้ง

    ในบรรดาหนังสือกลางเแจ้งที่ผมเคยอ่านมา “พ่อเฒ่ากับเจ้าหนู” หรือ “Old mand and the boy” ของ Robert Ruark น่าจะเป็นเล่มที่ผมชื่นชอบที่สุดและเคยเขียนถึงไว้หลายครั้งแล้ว

    Old man and the boy เป็นเรื่องราวของเด็กน้อยที่ใช้เวลาวันหยุดในวัยเด็กอยู่กับคุณตาผู้ซึ่งสอนให้ยิงปืน ยิงนก ตกปลา ล่ากวาง ฝึกหมา ต่อเรือ ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกเรื่องราวของธรรมชาติและการอนุรักษ์ที่ถูกต้องเข้าไปด้วยอย่างที่คนอ่านไม่รู้ตัว

    Old man and the boy นี้เริ่มจากการเป็นคอลั่มน์ประจำที่ Robert Ruark เขียนให้นิตยสาร Field & Stream ตั้งแต่ปี 1953 จนจบในปี 1961 รวมทั้งหมดถึง 106 ตอน โดยที่ไม่เคยขาดเลยแม้แต่เดือนเดียว

    คอลั่มน์นี้มีแฟนคลับกลุ่มคอยติดตามกันทุกเดือน เด็กก็ชอบอ่าน ผู้ใหญ่ก็ติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ต่อมามีการรวมเล่มออกมา 2 เล่มชื่อ Old man and the boy และ Old man’s boy grows older ซึ่งผมก็ได้อ่านหมดทุกตอนหลายรอบแล้ว แต่ก็มาพบที่หลังว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ถูกรวมไว้ในสองเล่มนั้น และใน Ruark The lost classics เล่มนี้ก็คัดสรรมาให้อ่านเต็มอิ่มอีก 27 ตอน 

    Old man and the boy มีรวมเล่ม เป็น 2 เล่ม
    หนังสือ Lost Classics รวม บทความของ Robert Ruark   27 ตอน ที่ไม่ได้รวมอยู่ใน Old man and the Boy

    ทุกครั้งที่ผมได้อ่านเรื่องราวของเด็กชายที่โลดแล่นไปในทุ่งโล่งและดงทึบ หรือสายน้ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าและปูปลาในธรรมชาติ ผมจะรู้สึกอิจฉาคนอเมริกัน และคนชาติอื่นๆที่เขาสามารถรักษาธรรมชาติเอาไว้ได้จนสามารถออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งได้อย่างสมบูรณ์ทุกรูปแบบ และรู้สึกหดหู่กับ “การอนุรักษ์” แบบบ้านเราที่ห้ามทุกอย่าง แต่ไม่จัดการ จนล้มเหลว ยิ่งอนุรักษ์ก็ยิ่งหมด

    หนังสือ Old man and the boy เคยมีการแปลเป็นภาษาไทยชื่อ พ่อเฒ่ากับเจ้าหนู ยังพอหาได้ในตลาดหนังสือมือสอง

    จนกระทั่งวันนี้ที่ผมได้อ่านเรื่อง “In you own backyard” ในเล่มนี้ ผมชอบจนต้องเอามาเล่าสู่กันฟังคร่าวๆครับ

    ในวันหนึ่งท่ามกลางฤดูร้อนที่น่าเบื่อไม่มีอะไรทำ เด็กชายเปิดนิตยสาร Field & Stream ให้คุณตาดู แล้วบอกว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปยิงสิงโต ยิงแรดที่อัฟริกา ไปตกปลามาลินตัวโตที่นิวซีแลนด์ แบบในหนังสือนี้ นี่ซิของจริง ไม่ใช่นกตัวเล็กๆ กระต่าย กระรอก หรือปลาตัวกระจ้อยที่เราตกเรายิงกัน

    ตาฟังแล้วก็บอกว่า เมื่อฤดูที่แล้วเธอยิงนกกระทาผิด 14 ตัวติดต่อกัน คิดว่าจะยิงสิงโตโดนเหรอ ตาเคยเป็นกะลาสีไปอัฟริกามาแล้ว สิงโตก็เคยเห็น แต่ไม่เห็นว่ามันจะน่ายิงตรงไหน กินก็ไม่ได้ นิวซีแลนด์ก็เคยไป อยู่ไกลสุดขอบโลก ไอ้ปลามาลินเนี่ยเนื้อมันไม่ได้อร่อยเลย ว่าแล้วก็ไล่เด็กน้อยไปขุดไส้เดือนเพื่อไปตกปลาเพิร์ชกัน

    เด็กน้อยยิ่งหงุดหงิด เพราะกำลังอยากฝันเรื่องแรดเรื่องปลามาลินตัวโตๆ ตากลับชวนไปตกปลาเพิร์ชตัวกระจ้อยอีกแล้ว แต่ก็ขัดตาไม่ได้

    ทั้งสองเอาเรือลำเล็กๆออกไปตกปลาในแม่น้ำหลังบ้าน ระหว่างนั้นคุณตาก็สมมุติให้เด็กน้อยเป็นพรานใหญ่นักสำรวจ Dr.Livingstone ที่กำลังล่องแม่น้ำกลางป่าทึบในอัฟริกาและต้องตกปลาไนล์เพิร์ชตัวยักษ์มาเลี้ยงผู้คนในคณะซาฟารีที่หิวโหย เมื่อได้ยินเสียงกระรอกตาก็สมมุติว่ามันต้องเป็นไฮยีน่าที่คอยมากินพวกเราที่กำลังจะหมดแรง 

    ไม่นานนักทั้งสองก็เล่นกันอย่างสนุกสนานจนเห็นพ้องต้องกันว่า ต้นไม้ที่เขย่าอยู่เพราะกระรอกนั้นน่าจะมีกอริลล่าปีนอยู่ และเมื่อกวางส่งเสียงนั่นก็น่าจะเป็นสิงโตคำราม

    จากวันที่น่าเบื่อมันก็กลับกลายเป็นวันที่สนุกที่สุดวันหนึ่งของเด็กชาย

    และเมื่อสบโอกาสตาก็สอนให้ว่า

    “ตาไม่รู้ว่าวันหนึ่งเธอจะได้ไปยิงสิงโต ล่าแรด หรือ เย่อปลามาลินหรือเปล่า

    ปัญหาก็คือคนส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตฝันหาอะไรที่ยากเกินเอื้อมไปจนแก่เฒ่าก็อาจจะไม่ได้มัน แต่พวกเขาก็พลาดทุกอย่างดีๆที่เขาจะสนุกกับมันได้รอบตัว เพียงถ้าพวกเขาไม่มัวแต่ฝัน รอวันพรุ่งนี้ หรือคอยมองชะเง้อข้ามเทือกเขา”

    ผมอยากให้คุณได้อ่าน “พ่อเฒ่ากับเจ้าหนู” กันครับ เพราะมันอาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคุณได้ในหลายๆมุมไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ธรรมชาติ, การอนุรักษ์ที่ถูกต้อง ไปจนถึงเรื่องของชีวิต 

    แต่ที่สำคัญกว่าผมอยากชวนให้ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งในธรรมชาติเท่าที่เราจะพอมีกันก่อนครับ หวังว่าเมื่อออกไปแล้วคุณจะเข้าใจธรรมชาติจริงๆมากขึ้น แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องอนุรักษ์กัน

    แต่ผมน่ะ ตอนนี้ขอคว้าปืน .22 เอ๊ย .458 ออกไปเดินในป่าหลังบ้านก่อน เมื่อกี้นี้ผมว่าผมได้ยินเสียงขันอยู่ น่าจะเป็นเสือครับ

    ข้าพเจ้าขณะกำลังย่างปลาช่อนยักษ์ ที่ได้มาไม่ไกลจากอะเมซอน (คอฟฟี่) มากนัก

    ตาเกิ้น

    8 มกราคม 2568

    พร้าว เชียงใหม่