เช้านี้ผมเห็นนกเป็ดแดง 4 ตัวมาลงในบึงน้ำที่หน้าบ้านเชียงใหม่ เป็นเรื่องน่าดีใจ และก็เป็นที่น่าสงสัยด้วยว่า ทำไมเราจึงมักจะพบพวกมันที่นี่ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม แต่จะหายไปไม่มีให้เห็นในช่วงอื่นๆของปี
แม้จะดีใจที่ได้เห็นนกเป็ดแดง แต่มันก็ทำให้ผมสะท้อนใจแอบเศร้าอยู่ไม่น้อย เพราะอะไร จะเล่าให้ฟังครับ

ในยุคนี้นานๆครั้งเราจะได้ยินข่าวคราวของนกเป็ดน้ำทางสื่อ เช่น “นกเป็ดน้ำกว่า 200 ตัวลงที่บึงน้ำ” หรือ “แม่นกเป็ดพาลูก 6 ตัวข้ามถนน หวิดโดนรถทับ กู้ภัยช่วยทัน นำส่งกรมอุทยาน”

ย้อนไปประมาณปี 2535 ในตอนที่ผมหัดดูนกใหม่ๆ ผมเคยได้ไปดูนกเป็ดที่อพยบหนีหนาวจากทางเหนือเข้ามาอยู่ที่บึงน้ำรังสิตระหว่างคลอง 1 และ คลอง 3 เพียงแค่เลี้ยวรถลงจากถนนรังสิตองครักษ์ก็จะเห็นนกเป็ดนับแสนๆตัวบินร่อนอยู่เต็มท้องฟ้าไปหมด
ถ้าจะให้แปลกใจกว่านั้น ในปีเดียวกัน ผมก็ได้ไปดูนกเป็ดน้ำที่ซอยลาดพร้าว 105 ซึ่งมีฝูงนกเป็ดนาๆพันธุ์นับแสนๆตัวมาอาศัยอยู่ในบึงน้ำขนาดใหญ่ที่น่าจะเกิดการขุดหน้าดินไปขาย มากมายชนิดที่ถ้าขึ้นบินพร้อมๆกันก็แทบจะทำให้ท้องฟ้ามืดมิด
ปัจจุบันหลักฐานที่พอจะหาได้ก็คงมีเพียงบึงที่ชื่อ “บึงนกเป็ดน้ำ” ในซอยลาดพร้าว 107 ส่วนที่รังสิต ไม่มีร่องรอยอะไรให้สืบหาได้เลย
ผมยังจำได้ถึงบทเรียนหนึ่ง ที่บอกเล่าว่า หากเรามีพ่อแม่เป็ดคู่หนึ่ง อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ และไม่ถูกล่า ภายใน 5 ปี เป็ดคู่นั้นจะขยายพันธุ์ ออกลูกออกหลาน จนมีจำนวน ถึง 2,000 ตัว

ผมลองคูณดูเล่นๆว่าถ้าในปี 2535 เรามีเป็ดเพียงคู่เดียว 30 ปีผ่านมานี้ เป็ดคู่นั้นจะขยายพันธุ์ได้ถึง 2,000,000,000,000,000,000 ตัว นับจำนวนเลขศูนย์แทบไม่ถูกเลยครับ
แล้วเป็ดของเราหายไปไหนละครับ
คนส่วนหนึ่งโทษว่าเป็ดหายไปเพราะถูกลักลอบล่า อีกส่วนหนึ่งก็เถียงกลับว่าเป็นเพราะคนถมบึงน้ำที่อยู่อาศัยของเป็ดจนหมด บางคนก็ว่าเป็ดโดนสารเคมีโดนยาจากนาข้าว
แต่ที่แย่กว่านั้นคือ คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไม่เคยสนใจว่านกเป็ดจะมีอยู่หรือหมดไป อาจจะมีบางส่วนที่เห็นนกเป็ดเป็นนกสวยงามที่เห็นสักครั้งหรือสองครั้งก็พอ
นอกจากนี้ “นักวิจัยสัตว์ป่า” ของเราที่มีอยู่ก็มุ่งไปทำวิจัยกันแต่สัตว์ป่าหายาก ไปจนถึงกบเขียดในป่ากันซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่มีวี่แววว่างานวิจัยเหล่านั้นจะถูกนำมาใช้ให้ได้ประโยชน์กับคุณหมู่มากอย่างไรบ้าง
ถ้าถามว่า “เราควรอนุรักษ์นกเป็ดน้ำหรือไม่” คนคงแย่งกันตอบว่า “แน่นอน เราต้องอนุรักษ์สัตว์ป่า” แต่ถ้าถามต่อว่า “เราจะอนุรักษ์นกเป็ดน้ำทำไม และควรจะให้มันมีจำนวนมากแค่ไหน” ผมเชื่อว่าอาจจะไม่มีใครตอบได้
นั่นอาจจะเป็นเพราะเราไม่เคยสนใจนกเป็ดกันอย่างจริงจัง และไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “อนุรักษ์” (Conservation) กันเลย
ในช่วงปี ค.ศ. 1900 สถานการณ์สัตว์ป่าในอเมริกาดูเหมือนจะย่ำแย่กว่าบ้านเรามาก สัตว์ป่าทุกชนิดถูกล่าขายโดยไม่มีข้อจำกัดจนแทบหมดสิ้น ควายไบซันหลายสิบล้านตัวถูกล่าจนเหลือน้อยกว่าร้อย นกเป็ดก็เช่นกัน
รัฐบาลกลางสหรัฐ เริ่มประกาศกฎหมาย “อนุรักษ์” หรือ Conservation Law กำหนดให้สัตว์ป่าทุกชนิดเป็นทรัพยากรที่ประชาชนอเมริกันทุกคนเป็นเจ้าของและสามารถใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน พร้อมกันนั้นก็จะต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มารักษาให้คงอยู่ตลอดไป
หนึ่งในวิธีจัดการการใช้ประโยชน์และรักษาทรัพยากรสัตว์ป่าก็คือการออกสแตมป์เป็ด (Duck Stamp)

Duck Stamp เริ่มออกครั้งแรกในปี 1934 มันเป็นรูปแบบหนึ่งของใบอนุญาตล่าสัตว์ที่ออกมาให้นักล่าเป็ดโดยเฉพาะ แต่ต่อมาก็มีรูปแบบที่จำหน่ายให้กับนักสะสมสแตมป์และผู้คนที่อยากสนับสนุน “การอนุรักษ์” โดยที่ไม่ได้ล่าเป็ด การออกแบบสแตมป์เป็ดมีการประกวดและมีภาพวาดสวยๆออกมามากมายทุกปีจนกลายเป็นของสะสม

เงินที่ได้จากการจำหน่ายสแตมป์เป็ดนี้กว่า 98% ถูกนำไปซื้อพื้นที่ชุ่มน้ำมาจัดเป็นเขตสงวนให้นกเป็ดได้อยู่อาศัยแล้วถึง 5.3 ล้านเอเคอร์ (13.4 ล้านไร่ หรือประมาณ 10 เท่าของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่) และมีเงินอีกส่วนหนึ่งจากภาษีที่เกี่ยวข้องนำไปจ้างพนักงานพิทักษ์ป่าที่คอยตรวจตราจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายล่าสัตว์และสนับสนุนการวิจัยที่จะทำให้เป้ดอยู่ได้อย่างยั่งยืน
หลังจากนั้นเป็นต้นมาจำนวนนกเป็ดก็เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ประมาณกันว่าตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมาในอเมริกามีนกเป็ดคงที่ที่ประมาณ 230 ล้านตัว
เมื่อมีที่อยู่อาศัยนกเป็ดสามารถขยายพันธุ์ได้เร็วมากและจะต้องควบคุมปริมาณให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่มี การใช้ประโยชน์จากการล่าก็สามารถทำได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
การล่าเป็ดสร้างรายได้มหาศาลให้กับเศรษฐกิจอเมริกาถึงปีละกว่า 3 พันล้านเหรียญ หรือกว่าหนึ่งแสนล้านบาท และสร้างรายได้ภาษีให้รัฐถึงประมาณปีละ 530 ล้านเหรียญหรือ 18,000 ล้านบาท

ในบ้านเราทุกวันนี้นกเป็ดมีสถานะตรงกันข้ามกับ”ผี” ก็คือมีตัวตนอยู่บ้าง แต่ผู้คนกลับไม่เคยสนใจไม่เคยให้ความสำคัญ
เมื่อเป็ดลงกินข้าวมันคือศัตรูของชาวนา เมื่อลงกินปลามันก็เป็นศัตรูกับเจ้าของบ่อ เมื่อมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ใคร พวกมันจึงถูกแอบล่า, ถูกดัก ถูกวางยาเบื่อ ไม่มีค่าอะไรเกินกว่าเนื้อเหนียวๆที่เป็นอาหารได้สักจาน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจ หน่วยงานอนุรักษ์ทั้งหลายก็มองข้ามเมื่อมันไม่ได้อยู่ในเขตอนุรักษ์

คนไทยเราสงสารเป็ด แต่เราไม่เคยมองเห็นความสำคัญของการอยู่รอดหรือความอุดมสมบูรณ์ของนกเป็ดแต่ละสายพันธุ์ในธรรมชาติเลย
เปล่าเลย ผมไม่ได้พยายามชวนให้คนมาล่านกเป็ดกัน เพราะมันมีจำนวนลดลงจนไม่ควรจะมีการล่ากันแล้วจนกว่าเราจะมีวิธีจัดการให้เป็ดในธรรมชาติเพิ่มจำนวนขึ้นได้ก่อน
แต่ผมอยากจะขออาศัยเรื่องของเป็ดมาเป็นตัวเล่าเรื่องให้เห็นภาพว่า “แนวทางการอนุรักษ์” ที่ทำกันมา 62 ปีนี้ (ซึ่งเราก็ไปเอาตัวอย่างมาจากอเมริกาเกือบทั้งหมด แต่ปฏิบัติแล้วล้มเหลว และแปรสภาพไปจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม) อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
สาเหตุหลักอาจจะเป็นเพราะตอนนี้ “การอนุรักษ์สัตว์ป่า” ของเรานั้นอยู่บนพื้นฐานของ “ความสงสาร” เพียงอย่างเดียว ไม่ได้อิงหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีการจัดการที่ควรทำ ไม่มีความสมดุลย์ทางเศรษฐศาสตร์ รูปแบบจึงออกไปในทาง “รับบริจาค” เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำคนทำงานก็เหนื่อยแทบตาย ผลที่ได้ก็มีแต่จะเห็นว่าธรรมชาติและสัตว์ป่าถดถอยลงไปเรื่อยๆ


เป็ดของเราหายไปไเกือบหมดแล้วครับ พร้อมๆสัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำอีกหลายชนิด
คนส่วนหนึ่งโทษว่าเป็ดหายไปเพราะถูกลักลอบล่า อีกส่วนหนึ่งก็เถียงกลับว่าเป็นเพราะคนถมบึงน้ำที่อยู่อาศัยของเป็ดจนหมด บางคนก็ว่าเป็ดโดนสารเคมีโดนยาจากนาข้าว
ถูกต้องทุกข้อครับ และที่แย่ที่สุด เราไม่เคยใส่ใจกับการหายไปของเป็ดและสัตว์อีกหลายๆอย่างในธรรมชาติเลย
ถึงเวลาหรือยังครับที่เราจะเลิกโทษกันแล้วหันหน้าเข้ามาร่วมวงสนทนาหารือเพื่อหาแนวทาง “อนุรักษ์” กันใหม่