การสั่งปิดสั่งห้ามคือการจัดการที่(มัก)ง่ายที่สุด
ผมเคยได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้คนที่รักธรรมชาติและเป็นคนสำคัญที่ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ในประเทศเรา ทุกท่านพูดเหมือนกันหมดว่าสิ่งที่ทำให้เขารักและทำงานต่อสู้เพื่อให้ธรรมชาติดำรงอยู่นั้นมาจากการที่พวกเขามีโอกาสได้สัมผัสธรรมชาติจากการไปแค้มป์, ไปเดินป่า, ไปดูนก, ไปดำน้ำ ในอุทยานแห่งชาติ
มันทำให้ผมเชื่อมั่นเสมอมาว่าการสร้างโอกาสให้กับคนทั่วไปได้สัมผัสธรรมชาติอย่างที่เป็นจริงคือรากฐานที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การอนุรักษ์ธรรมชาติของเราเดินหน้าต่อไปได้
และมันก็คือวัตถุประสงค์หลัก 1 ใน 3 ข้อที่อุทยานแห่งชาติถูกจัดตั้งขึ้นมา
หลายปีที่ผ่านมานี้จำนวนคนที่ออกไปแค้มปิ้ง, เดินป่า ออกไปเที่ยวธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างมาก มองในมุมหนึ่ง นั่นคือโอกาสที่ดีที่จะสร้างแนวร่วมของผู้คนที่รักธรรมชาติรุ่นใหม่ๆขึ้นมา
แต่ดูเหมือนว่ากรมอุทยานจะไม่ได้มองอย่างนั้น และไม่ได้พยายามที่จะปรับตัวที่จะใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงปัญหาเพิ่มมากขึ้นที่ต้องจัดการ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ
หลายคนบอกว่าปัญหาต่างๆในบ้านเราหลักๆมาจากการขาดจิตสำนึกของผู้คนในส่วนรวม ซึ่งผมก็ว่าจริง เพราะในประเทศนี้เราไม่เคยคิดที่จะปลูกฝังสร้างจิตสำนึกกัน มีแต่จะออกกฎมาห้ามมากขึ้นเรื่อยๆ
ผลที่เกิดขึ้นก็คือเรากลายเป็นประเทศที่มีกฎระเบียบหยุมหยิมมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยที่กฎส่วนใหญ่บังคับใช้ไม่ได้ และปัญหาก็ยังเกิดจากการขาดจิตสำนึกมากกว่าเดิม ไม่ได้พัฒนาไปในทางที่ควรจะเป็นเลย
เราจะคาดหวังให้ทุกคนเข้าใจและจิตสำนึกเกิดขึ้นงอกงามขึ้นมาเองคงจะเป็นไปไม่ได้
จากข่าวที่กรมอุทยานพยายามสร้างกระแสว่าควรต้องปิดอุทยานปีละ 3 เดือนเพื่อพื้นฟูธรรมชาติเมื่อปีที่แล้ว และข่าวล่าสุดที่ออกมาว่าจะห้ามทำอาหารในลานแค้มป์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้

หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ผมไม่เคยเห็นกรมอุทยานมีโครงการอะไรที่จะให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในธรรมชาติให้กับคนที่เข้าไปเที่ยวที่อุทยานเลย การแค้มปิ้งเป็นวัฒนธรรมใหม่สำหรับสังคมไทย และเมื่อไม่มีใครให้ความรู้ที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าปัญหาที่นักท่องเที่ยวสร้างขึ้นส่วนใหญ่เกิดมาจากความที่เขาไม่รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
ในเรื่องการทำอาหารในแค้มป์ จริงครับ ที่ว่ามีนักท่องเที่ยวบางส่วนทำเกินเลย ทำอาหารที่มีกลิ่นมีควัน ชุมนุมกันกลุ่มใหญ่เสียงดังเลยเวลาอันควร แต่แทนที่จะพยายามสร้างความเข้าใจให้คนกลุ่มนี้ทำให้ถูกต้องตามกฎระเบียบที่มีอยู่แล้ว กรมอุทยานกลับเตรียมที่จะออกกฎข้อห้ามแบบเหวี่ยงแหออกมาอีก ที่จะห้ามทำอาหารในลานกางเต็นท์ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเลยว่ากฎนี้จะไปริดรอนสิทธิและโอกาสของครอบครัวนับร้อยนับพันที่ต้องการมาสัมผัสธรรมชาติและนั่งรอบวงกินอาหารกันอย่างสงบและได้ทำกฎกติกาหรือกระทั่งมารยาทของการใช้พื้นที่อุทยานมาตลอด


เพราะในอเมริกามีการจัดจุดกางเต็นท์ให้เป็นสัดส่วน มีการควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวให้พอเหมาะกับสถานที่ ส่วนของไทยไม่เคยมีครับ


แต่ในขณะเดียวกัน กรมอุทยานไม่เคยพูดถึงและไม่มีท่าทีที่จะจัดการกับต้นตอของปัญหาทั้งหมดนั่นก็คือความแออัดของลานกางเต็นท์ในอุทยาน ไม่มีความคิดที่จะจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้เหมาะสมกับที่ลานแค้มป์จะรับได้ ไม่เคยคิดที่จะจัดลานแค้มป์ให้เป็นสัดส่วนมีระยะห่างอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้มีการเพิ่มและกระจายลานแค้มป์ออกไปเพื่อรับกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่เรามีอุทยานแห่งชาติอยู่ถึง 154 แห่ง และวนอุทยานอีก 69 แห่ง ในจำนวนนี้หากมีการจัดการที่ดีย่อมสามารถกระจายนักท่องเที่ยวออกไปได้และลดปัญหาต่างๆที่เกิดจากความหนาแน่นได้



มันเป็นการแก้ปัญหาจริงหรือครับ สภาพอุทยานแห่งชาติควรจะเป็นแบบนี้หรือครับ (ภาพจากอุทยานภูกระดึง)

(ภาพจากอุทยาน Yosemite อเมริกา)
ผมมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ในกรมอุทยานอยู่ไม่น้อย ผมได้เห็นพวกเขาทุ่มเทให้กับการดูแลรักษาธรรมชาติจนผมไม่เคยสงสัยถึงความตั้งใจกับการทำงานของผู้คนในกรมอุทยาน
แต่ปัญหาน่าจะมาจากวิศัยทัศน์ และลำดับความสำคัญของผู้บริหารกรม ที่อาจจะไม่ได้มองว่าการเพิ่มขึ้นของนักท่องธรรมชาติเป็นโอกาสของการสร้างแนวรวมคนรักธรรมชาติและนักอนุรักษ์ แต่หากมองว่าการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวเป็นเพียงปัญหาและความวุ่นวายที่ต้อง “จัดการ”
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็คงจะต้องเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยกฎแต่ขาดจิตสำนึกกันตลอดไปแล้วละครับ
