แม้ว่ามือทั้งสองข้างของผมจะเกาะรากไม้ไว้แน่น แต่เมื่อมองลงไปเห็นข้างล่างเป็นหน้าผาตัดดิ่งลงไปกว่ายี่สิบเมตรจึงจะถึงพื้นล่าง ผมก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว
“ลงไม่ได้แล้ว” ผมตะโกนลั่นป่า
จะซอผู้ที่ลงไปถึงข้างล่างแล้วปีนไต่หน้าผาหินนั้นกลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วราวกับจิ้งจกไต่ข้างฝา
เขาเอาเชือกเส้นหนึ่งผูกกับรากไม้แล้วยื่นส่งให้ผม
“เกาะเชือกนี้ลงไปได้”
มันน่าจะเป็นกำลังใจมากกว่าเชือกเปลเส้นเล็กๆเส้นนั้นที่ทำให้ผมรอดชีวิตมาได้จากหน้าผานั้น
3 วันหลังจากนั้นเราหลงทางไปด้วยกันเพื่อค้นหาน้ำตกที่มีคนลือกันว่าอยู่ในหุบเขา เราอดข้าวไปด้วยกัน กลางคืนก็ผูกเปลไขว้กันไปมาบนต้นไม้ต้นเล็กๆต้นเดียวท่ามกลางอากาศที่หนาวจนสั่น
และเราก็กลายเป็น “เพื่อน” กันจากนั้นมา

ทุกครั้งหลังจากนั้น ถ้าหากรู้ข่าวว่าผมจะมาที่แม่เงา จะซอจะลงมาจากบ้านบนเขาเพื่อมารอผมและไปเที่ยวด้วยกัน
เมื่ออยู่ในป่า จะซอจะคอยดูแลคนเมืองที่อ่อนหัดอย่างผมตลอด แม้กระทั่งคอยหุงข้าว หาปลาให้กิน
จะซอพูดน้อย และเมื่อพูดไทยสำเนียงกระเหรี่ยงผมก็ฟังแกเข้าใจได้แค่ 50% แต่ถึงกระนั้น จะซอก็เป็นคนหนึ่งที่ผมเรียกเต็มปากเต็มหัวใจว่า “เพื่อน”

กว่ายี่สิบปีที่เที่ยวป่ามาด้วยกัน ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากจะซอที่เป็นลูกป่าแท้ๆ

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ได้รู้จักจะซอมักจะเกิดขึ้นเมื่อเรากลับออกมาจากป่ากัน
จะซอเสมือนเป็นตัวแทนของคนจำนวนหนึ่งของประเทศนี้ที่มีชีวิตอยู่กับป่า ชีวิตที่คนเมืองอย่างเรามองข้าม, ไม่เห็นความสำคัญและไม่เคยเข้าใจ
พวกเขาใช้ชีวิตสมถะอยู่กับธรรมชาติมาตลอด และย้อนไปจนถึงรุ่นพ่อรุ่นปู่ แต่ชีวิตเช่นนี้ยากลำบากขึ้นมากในยุคที่สิ่งแวดล้อมภายนอกเปลี่ยนไปอย่างเร็ว เห็นได้ชัดในยี่สิบปีที่ผ่านมา

ขณะที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว พวกเขากลับถูกรุกรานเบียดเบียนจากทุกทิศทุกทาง ตั้งแต่อุทยานที่พยายามประกาศเขตทับที่ทำกิน, พ่อค้านายทุนที่เอาเปรียบราคาพืชผล และความฉ้อฉลของระบบราชการที่ซ้ำเติมพวกเขาแทนที่จะช่วยเหลือ

อาจจะกล่าวได้ว่า นอกจากจะซอจะเป็นคนหนึ่งที่กำหนดวางเส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงาที่เราเดินกันแล้ว เรื่องราวชีวิตที่เราได้เรียนรู้จากจะซอก็ยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราช่วยกันสร้างเส้นทางนี้ให้กับชาวบ้านแม่เงาอีกด้วย

เมื่อสองปีก่อน เราไปสำรวจเส้นทางกันอีกครั้ง มันมีความสำคัญกับผมมาก เพราะมันคือการค้นหาดอยขุนน้ำที่เป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำเงา ที่เราพยายามสำรวจค้นหากันมาหลายครั้งแล้ว

เมื่อได้ไปถึงดอยขุนน้ำ ในขณะที่ผมตื่นเต้นมากและขอถ่ายรูปกับจะซอและไก่ผู้ที่ร่วมเดินป่าสำรวจกันมาหลายครั้ง จะซอก็ตื่นเต้นกับพืชพรรณที่เป็นเครื่องเทศ สมุนไพรชั้นดีของชาวกระเหรี่ยงที่มีอยู่มากมายบนดอยลูกนั้น



ค่ำคืนนั้น เรานั่งล้อมวงกันข้างกองไฟ กินข้าวร้อนๆจากหม้อสนาม ซดแกงกบภูเขาที่จะซอไปจับมาตอนไหนไม่มีใครทันเห็นต้มกับเครื่องเทศและผักป่าที่เก็บมาจากรอบๆตัวเรา


มันคืออีกวันคืนหนึ่งที่จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป
เช้าวันนี้ ผมได้รับโทรศัพท์จากสหายไก่
“พี่เกิ้น จะซอไม่มีแล้วนะครับ”
เมื่อประมาณเกือบหนึ่งปีก่อนหน้านี้ จะซอเริ่มไม่สบาย ปวดท้องกินข้าวไม่ได้ กินอะไรก็อ้วกออกมาหมด
เมื่ออาการไม่ดีขึ้น น้องสาวที่น่ารักของพวกเราคนหนึ่งซึ่งเป็นหมอและเคยไปเดินป่ากับจะซอช่วยดูแลพาจะซอไปตรวจจึงพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และเมื่อพยายามจะรักษาก็พบว่ามะเร็งลามไปทั่วแล้ว ทำได้ก็เพียงยื้อเวลาให้จะซอได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวและเตรียมการต่างๆให้เสร็จสิ้น
ในช่วงที่โควิดระบาดจนผมไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนที่แม่เงาได้ ก็ได้แต่โทรไปสอบถามจากไก่ ก็ได้ยินข่าวแต่ว่า
“จะซอมันไม่เดือดร้อนอะไรครับ เห็นขี่รถลงมากินเบียร์อยู่เรื่อยๆ”
จากที่คบหากันมานาน ผมเริ่มสัมผัสได้ว่า เพื่อนๆชาวกระเหรี่ยงมองเรื่องความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต มิได้ฟูมฟายกับมันแบบเราๆคนเมือง
ที่ผมเสียดายนักก็คือไม่มีโอกาสได้ไปร่ำสุราเพื่อร่ำลากัน
จนกว่าจะได้พบกันใหม่ครับ จะซอ
