แม่น้ำเงา สายน้ำที่ผมหลงรักว่าเป็นแม่น้ำที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งนี้ ไหลออกมาไกลจากป่าลึกระหว่างรอยต่อของอำเภออมก๋อยจังหวัดเชียงใหม่และอำเภอท่าสองยางจังหวัดตากมาเป็นระยะทางไม่ต่ำกว่าแปดสิบกิโลเมตร ไหลผ่านเกาะแก่ง, โตรกเขาและหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยงที่มีชีวิตเรียบง่าย ตลอดความยาวของแม่น้ำสายนี้เต็มไปด้วยเรื่องราว, ตำนานเล่าขาน และยังเต็มไปด้วยทิวทัศน์งดงามของธรรมชาติ

1. แคนูแค้มปิ้ง
จากเดิมที่การเดินทางสู่ต้นน้ำเงาเคยยากลำบาก วันนี้ทางที่เกรดเรียบสามารถพาเราเข้าไปถึงบ้านสบโขงอันเคยไกลโพ้นในเวลาเพียง 3-4 ชั่วโมง แต่หากสบโขงที่เคยเป็นจุดหมายในการเดินทางครั้งก่อนๆ จะกลับกลายเป็นต้นทางของเราในวันนี้
แม้ทางรถจะสะดวกสบายขึ้นมาก แต่การชมลำน้ำเงาที่สวยงามที่สุดยังคงเป็นทางน้ำซึ่งเป็นการเดินทางเก่าแก่ที่อยู่คู่กับแม่น้ำสายนี้ตลอดมา ดังนั้นพาหนะของเราในครั้งนี้จึงเป็นเป็นเรือแคนูและคายัคที่เรานำใส่ท้ายรถมาประกอบกันที่บ้านสบโขงท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มามุงดู
สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคย เรือทั้งสองประเภทนี้แม้จะดูคลายกันแต่หากมีความแตกต่างอยู่พอควร เรือคายัคที่เราคุ้นตานั้นเป็นเรือที่มีรากฐานมาจากชาวเอสกิโมที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางและล่าสัตว์ในแถบขั้วโลก ผู้พายจะนั่งราบเหยียดขาไปกับพื้นเรือและใช้พายที่มีสองด้านซ้ายขวา เป็นเรือที่คล่องแคล่วว่องไว อาจจะมีขนาด หนึ่งหรือสองคน และสามารถบรรทุกสัมภาระได้ระดับหนึ่งแต่ไม่มากนัก
ส่วนเรือแคนูนั้นมาจากเรือดั้งเดิมของอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาที่ออกแบบไว้บรรทุกคนและสัมภาระได้มากเพื่อเดินทางในลำน้ำและทะเลสาบใหญ่ เป็นเรือเปิดที่คนพายจะนั่งอยู่บนที่นั่งและใช้พายที่มีข้างเดียว จริงๆแล้วรูปแบบของเรือและการพายของแคนูนั้นคล้ายเรือพายของไทยเรามากจะต่างกันก็ที่รูปทรงของเรือที่กว้างและใส่สัมภาระได้มากกว่า

ลำน้ำเงาที่บ้านสบโขงยังเป็นสายน้ำเล็กๆ ที่ไม่ลึกนักโค้งไปตามความสมบูรณ์ของแมกไม้และทิวเขา เมื่อเร่ิมออกเดินทาง น้ำเงาต้อนรับสหายเก่าอย่างเราด้วยสายน้ำใสและแดดยามเย็นที่สะท้อนน้ำเป็นประกายฟองคลื่น แต่นั่นก็หมายถึงก้อนหินและแก่งที่ซ่อนอยู่ภ่ยใต้ความงามนั้นด้วย
ด้วยแรงส่งของสายน้ำ เราไม่ต้องออกแรงพายมากนัก เพียงแต่ต้องคอยหลบหลีกแก่งหรือคัดท้ายและพายส่งให้พ้นโค้งเป็นบางช่วง เมื่อพ้นแก่งเราก็ได้โอกาสวางพายเพื่อดื่มด่ำกับรรยากาศรอบข้างของลำน้ำงามที่ไหลเอื่อยไปใต้แสงแดดสุดท้าย, เสียงนกแว่วมาท่ามกลางเสียงนำ้ไหลและสายลมเย็นที่พัดผ่านผิวกาย เป็นความรู้สึกที่ยากนักจะอธิบายได้เป็นตัวหนังสือหรือแม้แต่ภาพถ่าย
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่มีทางที่จะสัมผัสได้เมื่อเราเดินทางด้วยรถยนต์ที่ปิดกระจกและเปิดแอร์เย็นฉ่ำ

ในขณะที่ทางถนนที่ถูกจัดให้เป็นตัววัด “ความเจริญ” ของประเทศนี้เข้ามาถึงต้นน้ำเงา ความจำเป็นในการใช้เรือและแพไม้ไผ่ที่เป็นสิ่งที่คู่กับแม่เงามาเนิ่นนานก็คงหมดไปและการตำนานเรื่องเล่าของเดินทางทางน้ำก็คงจะถูกลืมเลือนไปในไม่ช้า
แต่หากความสุขสุนทรีย์ของชีวิตไม่ได้จำเป็นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเร็ว, ความสะดวก และ”ความเจริญ” เสมอไป

“โครม”ในขณะที่เรากำลังเคลิบเคลิมไปกับความงดงามรอบข้าง แก่งหินใต้น้ำกับเป็นสิ่งที่คอยเตือนเราให้ระลึกถึงความจริงของชีวิตบ้าง ตลอดจนปลุกบางคนให้ตื่นจากภวังค์ที่เคลิมไปกับความงามรอบตัวด้วยการลงไปอาบน้ำเงาก่อนเวลาอันควร
น้ำเงาจากบ้านสบโขงถึงบ้านอุมโล๊ะช่วงต่อมา อุดมไปด้วยแก่งหินตลอดทางถึงแม้จะไม่รุนแรงติดอันดับแต่ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ความตื่นเต้นกับมือใหม่พัดพายอย่างพวกเราไปได้ตลอดเส้นทาง

เราพายเรือไป หยุดถ่ายรูปบ้าง วิดนำ้บ้าง ว่ายน้ำเล่นบ้างกันตลอดทางอย่างไม่รีบร้อน ป๊อปผู้ซึ่งชำนาญเรื่องการพายเรือเป็นอย่างมากก็ถือโอกาสนี้คอยแนะนำวิธีพายและคัดท้ายเรือให้กับพวกเราคนอื่นไปด้วย
ก่อนที่จะมืดสนิท เราจอดเรือที่ชายป่าไม่ห่างจากบ้านอุมโล๊ะ กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ความอบอุ่นในวงมิตรสหายในเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม

เตาหุงข้าวส่งควันหอมกรุ่นออกมาจากหม้อ ไม่นานนักเราก็ล้อมวงกันใต้แสงตะเกียงและอาหารมื้อเย็น อาจจะเป็นเวลาที่ห่างจากมื้อก่อนหน้า, ความเหน็ดเหนื่อยจากการพายเรือครั้งแรกของหลายๆคน, บรรยากาศสดชื่นของป่าเขา, ฝีมือทำกับข้าวของคุณบี หรืออาจจะเป็นทุกๆอย่างรวมกันเข้า ที่ทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยเป็นพิเศษ
หลังอาหาร เราเอนหลังลงใต้แผ่นฟ้ากว้าง เรื่องเล่าจากประสบการณ์การเดินทางในลำน้ำวันนี้เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาพร้อมกับให้ข้อคิดกับเราสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้นและครั้งต่อๆไป
การเดินทางร่วมสิบกิโลเมตรในวันนี้นับเป็นบทเรียนแรกของการเดินทางรูปแบบใหม่ที่เราเรียกมันว่า “แคนูแค้มปิ้ง”

2. ล่องน้ำเงา
“วันนี้ไม่ดุเดือดเหมือนเมื่อวานแล้วครับ” ไก่บอก เพื่อนเก่าชาวแม่เงาของผมนับเป็นผู้ชำนาญทางโดยแท้เพราะไก่เคยเป็นนายท้ายขับเรือขึ้นล่องน้ำเงามาก่อน
เราจัดขบวนกันใหม่ คุณบีที่เราเรียกตามเด็กๆจนติดปากว่า “น้าบี”ได้รับตำแหน่งนายท้ายเรือแคนูลำใหญ่ด้วยความเหนือกว่าทางด้านน้ำหนักตัวทั้งๆที่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยคัดท้ายมาก่อน

อย่างที่ไก่บอกเราการเดินทางจากอุมโล๊ะมีแก่งน้อยใหญ่รอเราอยู่แต่ก็ไม่ดุเดือดเท่าช่วงที่มาจากสบโขงเมื่อวาน และเมื่อผ่านบ้านนาดอยนำ้ก็เริ่มลึกขึ้นและมีแก่งน้อยลง
“ตรงช่วงนี้เป็นเขตอนุรักษ์ปลาของบ้านนาดอยครับ” ไก่ชี้ให้เราดูป้ายเมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน
ปลาพลวง, ปลาเวียน และปลาอื่นๆตัวโตว่ายวนเวียนอยู่เต็มไปหมด

น้ำเงายังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ได้ก็เพราะแนวความคิดของชาวน้ำเงาที่ส่วนใหญ่เป็นกระเหรี่ยงซึ่งมีแนวความคิดที่จะใช้สอยธรรมชาติรอบตัวอย่างยั่งยืน แต่ละหมู่บ้านจะมีเขตป่าอนุรักษ์และเขตอนุรักษ์ปลา เพื่อให้คนในหมู่บ้านมีอาหารธรรมชาติให้หากินกันได้นอกเขตนั้นโดยที่ไม่หมดไป
เราแวะทานข้าวกลางวันกันที่สบห้วยแม่แพ อาหารที่เตรียมขึ้นง่ายๆก็หนีไม่พ้นบะหมี่สำเร็จรูปต้มกับน้ำเงา
ห้วยแม่แพเป็นอีกหนึ่งห้วยที่ไหลลงมาจากเขาสูงลงมารวมเป็นน้ำเงาเช่นเดียวกับที่เราเห็นมาตลอดทาง

“ปีนี้น้ำน้อยครับ ฝนไม่ค่อยตก” ไก่อธิบายถึงสภาพห้วยที่ไหลริน ถึงชาวบ้านจะช่วยกันรักษาอย่างไรแม่เงาก็ไม่สามารถหลีกหนีผลกระทบจากธรรมชาติที่แปรปรวนของโลกภายนอกไปได้
เราผ่านเรือหางยาวสองสามลำที่เคยเป็นพาหนะหลักของลำน้ำจอดนิ่งอยู่ข้างทาง
“ไม่ค่อยได้วิ่งกันแล้วครับ ทางรถดีขึ้นมาก นอกจากตอนที่ฝนตกหนักทางขาดก็ไปวิ่งจากอุมโล๊ะไปสบโขง แต่เดี๋ยวปีนี้พอทางคอนกรีตถึงสบโขงก็คงไม่มีใครใช้เรืออีก” ไก่บอกเมื่อเห็นผมมองเรือเหล่านั้น
เช่นเดียวกับแม่น้ำเกือบทุกสายในประเทศนี้ เมื่อถนนเข้ามาแทนที่ ความสำคัญของลำน้ำก็ลดลง ความเร็วความสะดวกสบายของรถยนต์ใครเล่าจะปฏิเสธ นานเขาสายน้ำก็เหลือเป็นเพียงวิวระยะไกลที่น้อยคนจะเข้าไปสัมผัส
และถูกลืมเลือนไปในที่สุด

น้ำเงาแม้จะคงสภาพไม่เปลี่ยนแปลงมาถึงวันนี้ แต่ก็คงไม่สามารถต้านทานความเจริญที่ห้อมล้อมอยู่ภายนอกได้อีกต่อไป
“พร้อมนะ ไปละนะ” หลังจากหยุดพัก ผมเข็นเรือออกจากฝั่ง พร้อมทั้งกระโดดเข้าไปนั่งที่เก้าอี้หัวเรือ
“เฮ้ย หลบไม้” ผมร้องเสียงหลง ขณะที่ช่วยกันพายเต็มที่แต่เรือเราก็ยังทื่อเข้าไปหาตอไม้ชายฝั่งนั้น
“โครม” ทั้งผมและน้าบี ต่างร่วงลงไปในน้ำพร้อมกับเรือที่พลิกคว่ำและสัมภาระที่ลอยน้ำ
“ผมเคยเห็นในโฆษณาที่เขาพูดว่า อุปสรรค์มีไว้พุ่งชน” น้าบี นายท้ายจำเป็น บอกในรอยยิ้มแห้งๆแต่ตัวเปียกชุ่ม
“เอ้อ ผมว่าน้าจำเขามาผิดแล้วละ”
“ก็เราจะได้ใกล้ชิดกับน้ำเงาให้มากๆไง” น้าบียังไม่ยอมแพ้

เย็นวันนั้น หลังจากเดินทางกันมาเกือบ 20 กิโลเมตร เราปักหลักลงแค้มป์กันที่หาดทรายก่อนถึงบ้านแม่เป่ง หมู่บ้านเล็กๆในฝั่งซ้ายของน้ำเงาซึ่งเป็นเขตของจังหวัดตาก แค้มป์ของเราวันนี้นับว่าเป็นแค้มป์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งที่ผมเคยเห็นมา มีน้ำเงาพาดผ่านตรงหน้าแค้มป์ ด้านซ้ายของเราเป็นแก่งเล็กๆที่มีประกายน้ำระยิบระยับด้วยแสงแดดยามเย็น ด้านขวาเป็นวังน้ำใสโค้งไปใต้ร่มต้นไทรใหญ่ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ปลาของหมู่บ้าน ฝั่งตรงข้ามของลำน้ำเป็นเป็นเขาสูงที่ป่าเร่ิมจะเปลี่ยนสีผลัดใบราวกับมีคนเอาสีต่างๆมาแต้มป่าให้สดใส


ชีวิตแค้มป์ก็ดูเหมือนจะง่ายๆและคล้ายกันทุกวัน เต็นท์เรียงรายไปบนหาดทราย กองไฟอันอบอุ่น ข้าวสวยหอมกรุ่นจากเตาไฟ และมิตรภาพอันแท้จริงของมิตรสหายที่ล้อมวงกันเข้ามาใต้แสงหริบหรี่ของตะเกียง
หลังอาหารเย็น เมื่อหรี่แสงตะเกียงลง หมู่ดาวก็ปรากฎตัวเต็มฝากฟ้า เสียงน้ำไหลริน จิ้งหรีดเรไรร้องระงม แทรกมาด้วยเสียงเก้งที่ร้องมาไกลๆ เราเอนตัวลงบนหาดท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดมาตามสายน้ำ
ความงามเช่นนี้เราจะได้สัมผัสก็ต่อเมื่อห่างไกลจากเครื่องยนต์กลไก, ไฟฟ้า, และแสงสีแห่งเมือง ดูเหมือนว่าการเดินทางด้วยเรือแคนูในครั้งนี้ให้โอกาสเราได้สัมผัสความงามที่ถูกซ่อนเร้นไว้จากผู้ที่เดินทางโดยวิธีอื่น
“ถึงรุ่นลูกผมจะมีที่สวยๆแบบนี้ให้ดูกันมั๊ยครับนี่” คุณนัท ช่างภาพของเราผู้ที่เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานเอ่ยถาม หลังจากเรานอนเงียบกันอยู่พักใหญ่
“สงสัยตอนลูกคุณนัทโต ที่ตรงนี้คงเป็นลานจอดรถใหญ่ มีไก่ย่างส้มตำ มีขายอาหารถุงให้คนเลี้ยงปลาแล้วล่ะ” น้าบีตอบในสิ่งที่ผมกลัวอยู่ในใจ
เราเงียบกันไปอีกพักใหญ่
“ถ้าคนได้เข้ามาพบกับสิ่งที่สวยงามด้วยความสงบอย่างที่เราสัมผัสตอนนี้กัน ธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่งก็อาจจะมีคุณค่ามากขึ้นในสายตาคนหมู่มาก บางทีสังคมเราอาจจะเจริญขึ้นอย่างสมดุลย์กว่านี้นะ” ผมพูดถึงความหวังที่เกือบจะเป็นเหมือนความฝัน และนั่นก็เป็นความตั้งใจหลักที่ผมชวนเพื่อนๆมาสัมผัสความงามของน้ำเงาด้วยกันในครั้งนี้
“พี่ยังหวังว่านั่นจะช่วยให้เรามีสิ่งสวยงามแบบนี้เหลืออยู่ให้ลูกนัทได้ดูบ้างนะ”

3.เงาสะท้อนบนผิวน้ำ
ในวันรุ่งขึ้น เราเริ่มเดินทางกันในตอนสาย เรือทั้งสามลำลอยอยู่บนน้ำที่ใสจนเหมือนเรือลอยอยู่บนกระจกแล่นผ่าไปท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมลำน้ำ
ผมปักใจเชื่อแล้วว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้สัมผัสความงามของสายน้ำคือการพายเรือไปอย่างเงียบๆและไม่รีบร้อน พายไปช้าๆเหมือนกับจะซึมซับความเป็นไปของลำน้ำในทุกยอดคลื่น หรือแม้กระทั่งปล่อยเรือให้ลอยไปช้าๆค่อยๆชื่นชมสรรพสิ่งรอบกายและเสียงของธรรมชาติ

ในยามที่เรือแคนูล่องลอยไป น้ำใสรอบเรือมิเพียงสะท้อนเงาของเราและสรรพสิ่งรอบด้าน แต่หากยังสะท้อนความคิดให้แจ่มกระจ่าง ความคิดที่วุ่นวายและขุ่นมัวก็สลายไปพร้อมๆกับนำ้ที่หยดลงจากพายทุกครั้งที่ยกขึ้นเหนือนำ้
การเดินทางเช่นนี้หากนานพอก็ไม่ต่างกับการจาริกแสวงบุญ นำพาเราออกไปไกลจากชีวิตประจำวัน และห่างจากความสับสนและความอยากปลอมๆที่สร้างขึ้นมาจากความเจริญทางวัตถุ ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก็อาจทำให้เราสามารถแยกแยะได้ระหว่างความต้องการและสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต
“เฮ๊ย น้าบี กอไม้”
โครม….
“เอาน่า ชีวิตมันต้องมีอะไรตื่นเต้นบ้าง” เสียงน้าบีบอกมาจากท้ายเรือหลังจากเราหลุดออกมาจากซุ้มไม้ข้างทางและเรือกำลังหมุนขว้างอยู่กลางน้ำ

เราล่องเรือผ่านหมู่บ้านแม่หลุยส์ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้าย กว่าเราจะผ่านหน้าอุทยานฯแม่เงาพระอาทิตย์ก็คล้อยลงแทบจะแตะยอดไม้
ทางน้ำสายนี้ยังคงงดงามจนกระทั่งช่วงสุดท้าย แสงแดดยามเย็นส่องกระทบดอกหญ้าสองข้างทางเป็นสีทองไปทั้งทุ่งสลับกับป่าทึบเขียว
ในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางของน้ำเงาที่ไหลเข้ามารวมกับน้ำยวมในบริเวณที่เรียกว่าแม่น้ำสองสี
“มากับผมลำบากหน่อยนะ” เสียงน้าบีพูดอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน ในขณะที่เรากำลังปล่อยให้เรือแคนูลอยเอื่อยๆเหมือนไม่อยากให้การเดินทางครั้งนี้จบสิ้นลง
ผมหันไปมองหน้าน้าบี “ไม่หรอก ถ้าให้ผมคัดท้าย ก็คงล่มหลายครั้งเหมือนกัน”
น้าบีพยักหน้าและยิ้มออกมาได้อีกครั้ง เพราะยังไม่ทันได้ฟังประโยคต่อไปของผม
“เพราะน้าตัวหนักเกินไป ถ้านั่งหน้าเรือผมก็คัดท้ายไม่ไปหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
มีคนกล่าวว่าหากจะให้คนสักกลุ่มหนึ่งเป็นเพื่อนจริงสหายแท้ หนทางที่ดีที่สุดคือพวกเขาจะต้องผ่านสิ่งที่ยากลำบากหรือแม้แต่เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันเพื่อพิสูจน์ธาตุแท้ของน้ำใจและกระเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มออกเพื่อให้แสดงตัวตนที่แท้จริงและเปิดใจรับกันอย่างได้เต็มที่
ผมคิดว่าการลงเรือหลายลำด้วยกันหรือล่มเรือลำเดียวกันตลอดสามวันและเกือบห้าสิบกิโลเมตรที่ผ่านมาก็น่าจะจัดเข้าข่ายนั้นได้

เรากลับมาถึงอุทยานแม่เงาอีกครั้งในวันท้ายๆของช่วงเทศกาลวันหยุดยาว แม้ลานกางเต๊นท์ที่งดงามริมน้ำเงาจะคลาคร่ำไปด้วยผู้คนแต่ก็ไม่ถึงกับแออัด
“ไปไหนกันมาค่ะ” นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวที่เพิ่งลงจากรถขับเคลื่อนสี่ล้อถามผมเมื่อเห็นสภาพที่ไม่ปรกติของพวกเรา
“พวกเราล่องเรือออกมาจากบ้านสบโขง ต้นแม่น้ำเงาข้างในโน่นครับ” ผมตอบ “น้องละครับมาจากที่ไหน”
“พวกเราตระเวนมาเรื่อยๆค่ะ มาจากทางเพชรบูรณ์ ย้ายที่นอนไปทุกวัน ที่นี่ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเลย พี่ดูน่าจะเที่ยวมาเยอะ แถวนี้ที่ไหนสวยแนะนำบ้างค่ะ”
“ที่นี่ครับ สวยที่สุดแล้ว สวยที่สุดที่ผมเคยเห็นมา แต่ต้องใช้เวลาเที่ยวหลายๆวันนะ แม่น้ำข้างในสวยมาก ต้องเดินป่า, ล่องเรือหรือแพถึงจะได้เห็นความสวยงามครับ”
“จริงเหรอค่ะ บางทีคราวหน้าอาจจจะลองมาแวะดูอีกทีนะคะ คราวนี้ว่าจะไปเรื่อยก่อน”
แล้วพวกเขาก็จากไปพร้อมๆกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ทิ้งให้เราเป็นกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่บนลานกว้างริมน้ำเงา
บางทีหากเราลดความเร็วของการเดินทาง และความเร็วของจังหวะชีวิตลงบ้าง เราอาจจะได้พบความงามที่ซ่อนเร้นตามรายทาง
หรือบางที อาจจะเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจเราเอง


มาถึงวันนี้ คุณสามารถไปล่องแม่น้ำเงาได้ง่ายๆแล้ว ลองอ่านเพิ่มเติมที่นี่ได้เลยครับ
[…] เมื่อแปดปีที่แล้ว ผมและสหายกลุ่มเล็กๆได้เอาเรือแคนูล่องเป็นระยะทางกว่า 50 กิโลเมตรของแม่น้ำสายนี้ (แม่น้ำเงายาวกว่า 80 กิโลเมตร โดยไม่มีเขื่อนหรือฝายกั้น) เราแค้มป์กันระหว่างทาง เราได้พบเห็นความงามจากมุมมองที่แตกต่าง แม้แต่ผมเองที่มาเยี่ยมเยือนนับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน (อ่านเรื่องราวเต็มๆได้ที่นี่) […]
[…] เมื่อแปดปีที่แล้ว ผมและสหายกลุ่มเล็กๆได้เอาเรือแคนูล่องเป็นระยะทางกว่า 50 กิโลเมตรของแม่น้ำสายนี้ (แม่น้ำเงายาวกว่า 80 กิโลเมตร โดยไม่มีเขื่อนหรือฝายกั้น) เราแค้มป์กันระหว่างทาง เราได้พบเห็นความงามจากมุมมองที่แตกต่าง แม้แต่ผมเองที่มาเยี่ยมเยือนนับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน (อ่านเรื่องราวเต็มๆได้ที่นี่) […]