เส้นทางเดินเล็กๆนั้นพาเราข้างเนินเขาแล้ววกเข้าไปผ่านป่าสน
เส้นทางเทรลนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอุทยานYellowstone ที่โด่งดัง ด้วยระยะทางไม่ไกลนัก มันจะพาเราเข้าไปพบกับ Slough Creek แม่น้ำสายเล็กๆกลางป่าที่เป็นที่ไฝ่ฝันของนักตกปลาทั่วโลก ที่นี่พาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ทั้งหลายไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ถ้าอยากไปก็ต้องเดินไปหรือขี่ม้าไปท่านั้น เพราะนี่คือแผ่นดินที่ถูกกำหนดให้เป็นเขต Wilderness (อ่านเรื่องของ Wilderness ได้ที่นี่) แต่ใครๆก็เข้ามาเดินได้โดยที่ไม่ต้อง “ขออนุญาต” ถ้าจะเข้าไปค้างคืนก็เพียงแต่ไปขอ Permit ซึ่งออกให้ทุกคนโดยไม่ต้องมี “ดุลย์พินิจ”เข้ามาเกี่ยวข้อง
พอเลี้ยวพ้นโค้ง เราก็เจอเพื่อนร่วมทาง 3 คน แบกเป้, ถือไม้เท้าเดินป่า และพกสเปรย์ไล่หมี ท่าทางทะมัดทะแมง พวกเขาทำให้เราสองคนรู้สึกดีที่เราไม่ได้แก่ที่สุดในเทรลนี้
ทุกคนในกลุ่มนั้นทักทายพูดคุยกับเราอย่างเป็นมิตร เดินไปคุยกันไป เทอรี่ชายสูงอายุท่าทางใจดี เล่าให้เราฟังว่า เขาและภรรยาเป็นคนจากชิคาโก้เมืองใหญ่ ตอนนี้เกษียณแล้ว ก็เลยมาทำงานระยะสั้นประมาณ 2 เดือนที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน Yellowstone เป็นแรงงานเสริมในช่วงหลังจากฤดูร้อนที่เด็กนักเรียนที่เป็นกำลังหลักกลับไปเรียนหนังสือกันหมดแล้ว พวกเขาจะทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน และมีเวลาอีก 3 วันได้ออกมาเดินเที่ยวป่า ดูเป็นแนวชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย
เส้นทางเริ่มวนลงต่ำ เรามองเห็นทุกหญ้าและที่ราบอยู่ไกลๆ สองข้างทางเริ่มหนาทึบด้วยป่าสนและพุ่มไม้จนเราต้องส่งเสียงดังเตือนหมีที่อาจจะอยู่แถวนั้นไม่ให้ออกมาเจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเองถึงกับต้องหยิบสเปรย์ไล่หมีออกมาถือไว้ในมือ

Slough Creek สวยกว่าที่เราวาดภาพไว้ในใจมาก สายน้ำเล็กๆนั้น ไหลคดโค้งผ่านทุ่งกว้าง และโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาไกลๆ มองไปรอบตัว เราไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆที่บ่งบอกถึงสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ความซิวิไลยซ์” นอกจากสายน้ำ, ทุ่งหญ้า, ทิวเขาและท้องฟ้าแล้ว ก็มีเพียงฝูงควายป่า Bison ที่ยืนกินหญ้ากระจัดกระจายอยู่หลายฝูง

ภาพที่เราเห็นตรงหน้า คงไม่ต่างกันนักจากภาพเมื่อหลายร้อยปีก่อน ก่อนที่คนผิวขาวจะมาถึงทวีปอเมริกา

เพื่อนร่วมทางทั้ง 3 เดินเลยต่อไปยังทะเลสาบ ขณะที่เราลงไปตกปลากันที่แม่น้ำ ไม่นานนักเราก็พบปลาเทร้าท์ที่เราตามหา Yellowstone Cutthroth Trout ปลาพื้นถิ่นที่หายากของที่นี่ (รออ่านเรื่องตกปลาใน Yellowstone เร็วๆนี้ครับ) และเราสองคนก็แยกย้ายไปหามุมสงบตามสายน้ำ

ปลาเทร้าท์ตัวใหญ่นั้นลอยตัวขึ้นมาดูเหยื่อรูปแมลงเต่าทองอาหารโปรดของมันอย่างช้าๆ ก่อนจะเลี้ยวกลับลงไปสู่น้ำลึก น้ำที่ใสราวกับกระจกทำให้ผมเห็นปลาตัวนั้นและตัวอื่นๆในน้ำได้อย่างชัดเจน พวกมันก็คงเห็นผมเช่นกัน

ผมเดินย้อนน้ำไปจนสุดทุ่งกว้าง ที่ตรงนั้นสายน้ำไหลออกมาจากป่าทึบเบื้องหน้า ที่ตรงนั้นดูเหมือนจะมีแต่ผมกับฝูง Bison ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงลม เมื่อมองไปรอบตัวผมก็มองเห็นแต่ธรรมชาติแท้จริงที่ปราศจากการปรุงแต่ง ผมอยากจะเรียกมันว่า “ธรรมชาติพิศุทธิ์”

ผมอิจฉาชาวอเมริกันเป็นอย่างมากที่เขามีธรรมชาติพิสุทธิ์เช่นนี้ให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายๆ ไม่เพียงแต่ในอุทยานแห่งชาติใหญ่ๆเช่นนี้ที่มีเส้นทางให้คนเข้าไปเดินได้อย่างอิสระ แต่แทบทุกเมืองที่ผมเคยไปแม้แต่เมืองใหญ่ๆผู้คนหนาแน่นก็ยังมีเส้นทางเทรลที่อยู่ไม่ไกลให้ไปเดินได้ มีเมืองเล็กๆที่ผมเคยไปเมืองหนึ่งมีเส้นทางเทรลถึง 60 เส้น!!!
ในเมืองไทย เรามีอุทยาน และ “เขตอนุรักษ์” มากมาย แต่มีที่ไหนบ้างที่เรามีเส้นทางที่เราสามารถเดินเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติพิศุทธิ์ได้
มีครับ เรายังมีธรรมชาติพิศุทธ์อยู่อีกมาก และอาจจะมีคน “บางคน” ที่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส แต่คนส่วนใหญ่ยังถูก “จำกัด” ไว้ให้เข้าถึงได้แต่ในที่ที่ถูก “ปรุงแต่ง” แล้วเท่านั้น

และผมเชื่อว่านี่คือปัญหาพื้นฐานที่ทำให้ “การอนุรักษ์” ของเราไม่มีวันที่ก้าวไปข้างหน้าให้ดีกว่านี้
เราจะให้คนส่วนใหญ่ในสังคมของเราเข้าใจและรักธรรมชาติได้อย่างไรเมื่อเขาไม่เคยเห็นว่าธรรมชาติที่แท้จริงเป็นอย่างไร เราจะให้เขาลุกขึ้นเรียกร้องและปกป้องธรรมชาติพิศุทธิ์ได้อย่างไรหากเขาเข้าใจว่าธรรมชาติคือสิ่งที่เขาเห็นจากข้างถนน, เส้นทาง “ศึกษาธรรมชาติ” เทปูน และลานกางเต็นท์ที่เป็นสนามหญ้าเขียวตัดเรียบของอุทยานฯ ทั้งๆที่มันถูก “ตกแต่ง” ไปแทบจะไม่ต่างไปจากสิ่งที่เราเรียกว่ารีสอร์ต
เมื่อความเข้าใจเป็นเช่นนี้ ทุกวันนี้เราจึงเพียงใช้ชีวิตสมมุติที่ห่างไกลจากความจริงกันขึ้นไปเรื่อยๆ
หากจะหักเหกลับไปสู่ธรรมชาติและความเป็นจริง เราคงต้องเริ่มการเปลี่ยนแปลงนี้จากการทำให้คนส่วนใหญ่รับรู้ก่อนว่า เรายู่ในสังคมที่ “ขาดแคลนธรรมชาติ”