ผมเพิ่งดูภาพยนต์เรื่อง Kadachome จบ สนุกครับ
ภาพยนต์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเบน ช่างภาพผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนเป็นตำนานของช่างภาพที่ยังมีชีวิตอยู่ (แสดงโดย Ed Harris ที่แสดงเก่งมาก) เขาป่วยเป็นมะเร็งในขั้นสุดท้าย และอยากจะเอาฟิล์ม Kodachome 4 ม้วนที่ถ่ายไว้นานมากแล้ว ไปล้างที่ Lab สุดท้ายใน Kansas ที่ยังเปิดให้บริการล้างฟิล์มชนิดนี้อยู่และกำลังจะต้องปิดบริการเพราะไม่มีเคมีที่จะใช้ล้างฟิล์มอีกต่อไป เขาติดต่อขอให้ลูกชายที่โกรธกันไม่พูดกันมาหลายสิบปีเป็นคนขับรถพาไปล้างฟิล์มที่นั่น พร้อมกับพยาบาลประจำตัวสาวสวย (อันนี้คงพอเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น)
สำหรับคนที่ไม่รู้จัก Kodacrome เป็นฟิล์มสไล์ดสีชนิดแรกๆที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างทั้งในการถ่ายภาพและภาพยนต์ ผลิตมาตั้งแต่ปี 1935 ภาพฟิล์มสไลด์จาก Kodachrome จะให้สีสวยงามจับอารมณ์มากแบบที่ไม่มีฟิล์มอะไรทำได้เหมือน และจะเก็บได้นานนับสิบๆปีโดยสีไม่ซีดจาง แต่มีข้อจำกัดว่าจะต้องล้างด้วยกรรมวิธีพิเศษซึ่งมีแล็บอยู่ไม่กี่แห่งในโลก (25 แห่งในช่วงที่เฟื้องฟูที่สุด)
Kodak เลิกผลิตฟิล์ม Kodachrome ในปี 2009 และ Lab ของ Kodak ก็ปิดตัวลงหมดสิ้น Lab สุดท้ายที่ยืนหยัดทำต่อและเหมาเอาน้ำยาเคมีจากสต็อคของ Kodak ไปหมดก็คือ Dwayne’s Photo ในเมือง Parsons รัฐ Kansas ซึ่งก็ทำได้มาจนถึงปลายปี 2010 ที่น้ำยาทุกอย่างหมดลง และในช่วงสุดท้ายของการล้างฟิล์มก็เกิดเรื่องคล้ายๆภาพยนต์เรื่องนี้ขึ้นมากมาย เพราะคนจากทั่วโลกล้วนขวนขวายนำ Kodachrome ที่พวกเขาถ่ายไว้มาล้างให้ทันกำหนด
ถ้าอยากอ่านเรื่องจริงเรื่องนี้อ่านได้ที่นี่ครับ https://www.nytimes.com/2010/12/30/us/30film.html
ในภาพยนต์เรื่องนี้มีบทสนทนาที่น่าสนใจหลายตอนครับ
“พ่อน่าจะไม่สร้างปัญหาให้เราแบบนี้ถ้าหากพ่อถ่ายภาพดิจิตอล”
“เอ็งเคยจับนมปลอมไว้ในมือมั๊ย ไม่ว่าอะไรจะดูดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางจะเหนือกว่าของจริงได้หรอก
ยุคนี้ผู้คนถ่ายภาพมากมาย เป็นหมื่นๆล้านภาพ แต่ไม่มีสไลด์ ไม่มีรูปที่อัดออกมา มันก็แค่ข้อมูล แค่ฝุ่นผงอิเลคโทรนิค ต่อไปข้างหน้า ถ้าเขาขุดเราขึ้นมา ก็จะไม่มีรูปภาพอะไรให้เห็น ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีใครรู้ว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างไร”
“You would have saved us all a lot of trouble if you shot digital.”
“Have you ever hold a pair of fake tits in your hand? No matter how good something looks. You can’t beat the real thing.
People are taking more picture now more than ever before. Billions of them. But there is no slides, no prints. They are just data. Electronic dust. Years from now, when they dig us up, there won’t be any picture to find. No record of who we were, how we lived.”
อีกตอนหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือ เมื่อเบนถูกถามว่าคุณโกรธมั๊ยที่ฟิล์ม Kodachrome จะเลิกแล้ว
เบนตอบว่า
“ไม่โกรธหรอก แค่มีอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย มันก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น
เราล้วนแล้วแต่หวาดกลัวเวลา วิธีที่มันเคลื่อนตัวไป การจากไปของสิ่งต่างๆ นั่นก็คือเหตุผลที่เราเป็นช่างภาพ
เราเป็นนักอนุรักษ์นิยมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราถ่ายภาพเพื่อหยุดเวลา ตรึงเสี้ยวเวลานั้นให้อยู่ไปตลอดกาลนาน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในแบบที่จับต้องได้”
คุณล่ะ ถ่ายภาพเพื่อเหตุผลเดียวกันมั๊ย
“We are all so frighten by time and the way it moves on, the way things disappear. That’s why we’re photographers.
We are preservationist by nature. We take picture to stop time. To commit moments to eternity. Human nature made tangible.”