ผมเป็นคนที่มีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่ในป่าครับ มีเวลาหลบไปได้เมื่อไหร่เป็นต้องหนีไปนอนในป่าไม่ว่าจะเป็นชายป่าหรือป่าลึกแค่ไหนถ้ามีโอกาสมีใครชวนผมไปหมด จากการที่เข้าป่ามาในช่วงเวลาหลายสิบปีนี้ มีหลายครั้งที่ได้พบเจอเรื่องแปลกๆที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพื่อนๆหลายคนอยากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องมานาน มาวันนี้ลงมือซะที เร่ิมจากเรื่องแรกกันเลยครับ ขอบอกเลยครับว่า ทุกเรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องผมเองก็ไม่ได้ปักใจเชื่อยังสงสัยว่าคืออะไรที่เจอมาเองจริงๆครับ
ร่วมสิบปีมาแล้ว ตอนที่เพื่อนในกลุ่ม ThailandOutdoor เพิ่งจะรวมตัวกันได้ใหม่ๆ หลายคนอยากจะออกไปทดลองเดินป่า จึงมีการวางแผนว่าจะพาน้องใหม่หลายคนไปเดินป่ากันที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ช่วงนั้นบังเอิญว่าเจ้าหน้าที่เขาใหญ่ที่ผมรู้จักคุ้นเคยล้วนแต่ย้ายหน่วยหรือขาดการติดต่อหาตัวกันไม่เจอ (สมัยนั้นผู้คนยังไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือกันเหมือนทุกวันนี้นะครับ) จึงมี “ตุ๊ง” น้องในกลุ่มคนหนึ่งเป็นธุระให้โดยที่ไปติดต่อเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่เราไม่รู้จักมาก่อนมานำทางให้ โดยมีเป้าหมายกันอยู่ที่ “เขาฟ้าผ่า” ซึ่งเป็นยอดเขาอยู่ทางตะวันตก เราเดินทางไปกันในเดือนพฤศจิกายน 2549
เราออกเดินทางจากบริเวณใกล้ๆที่ทำการ คณะเรามีกัน 7 คน และมีเจ้าหน้าที่นำทางไป 3 คนเป็นเจ้าหน้าที่หนุ่มๆทั้งหมด กว่าจะออกเดินทางกันได้สายมากแล้ว
เราเดินผ่านหน่วยคลองอีเฒ่าแล้วก็ตัดเข้าป่าไปอีก
“พวกคุณเดินช้ากันอย่างนี้ ไม่มีทางเดินถึงเขาฟ้าผ่าหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดอย่างหงุดหงิด พูดก็พูดเถอะผมไม่ชอบกริยาและคำพูดของพวกเขานัก พวกเขาทั้ง 3 ดูจะค่อนข้าง “กร่าง” และ “คุย” มาก เมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่ผมคุ้นเคยซึ่งสุภาพและซ่อนคมกันทุกคน กับสามคนนี้ผมกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่ค่อยมีคมให้ซ่อนกันสักเท่าไหร่
ด้วยเหตุที่เราออกเดินกันสาย และก็เดินกันช้าด้วย ทำให้เราเดินไม่ถึงจุดหมายคือยอดเขาฟ้าผ่าจริงๆ
“วันนี้นอนที่นี่แหละ ผมบอกแล้วว่าเดินแบบนี้ไม่ไม่มีทางเดินถึงเขาฟ้าผ่าหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกพลางปลดเป้ลงจากบ่า ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆเท่านั้นเอง
ผมมองไปรอบตัว บริเวณนั้นเป็นจุดที่ลำห้วยสองสายมารวมกัน อย่างที่มีคำเรียกว่า “สามแพร่ง” ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ แต่ที่ข้องใจมากก็คือพื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์ตั้งแต่หมูป่า,กวาง ไปจนถึงช้างเปรอะไปหมดจนแทบทุกตารางนิ้วและยังมีทางด่านสัตว์เดินผ่านชัดเจน


“ผมว่าพื้นที่มันไม่น่าตั้งแค้มเลยนะ มันเป็นจุดที่สัตว์ลงมากินน้ำกัน นี่เพิ่งยังไม่สี่โมง เราเดินกันไปอีกหน่อยก็ได้นะครับ” ผมพูดกับเจ้าหน้าที่ทั้งสาม
“คุณกลัวเหรอ มากับพวกผมนี่ไม่ต้องกลัวหรอก สามแพร่งนี่ก็ไม่เป็นไร นอนที่นี่แหละ” คนหนึ่งพูดแบบไม่สนใจผมนัก
ผมจัดให้น้องๆในคณะผูกเปลใกล้ๆกัน โดยมีผมและพี่พิชญ์นักเดินป่ามือเก่าอีกคนผูกเปลกันอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนผูกเปลอยู่เรียงรายกันห่างเราออกไปเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นที่ก่อกองไฟและนั่งกินข้าว
ผมสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งผูกเปลขวางด่านสัตว์(ทางเดินสัตว์) ไว้ ยังนึกในใจว่าหมอนี่ใจถึงแฮะ
ตอนค่ำเราล้อมวงกันกินข้าวใกล้ๆกองไฟ เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนเอาหล้าออกมากินกัน โดยที่พวกเราไม่มีใครกินเหล้าเลย พอเหล้าเข้าปาก ดูเหมือนพวกเขาจะ “คุย” มากขึ้น
“ป่าแถวนี้พวกผมเดินตรวจกันบ่อยจนปรุแล้วไม่ต้องกลัวหรอก”
“นี่เราเดินมายังไม่ถึงครึ่งทางเลย พวกคุณเดินกันช้ามาก ผมบอกแล้วว่าเดินแบบนี้ไม่ถึงเขาฟ้าผ่าหรอก”
“สัตว์แถวนี้เยอะมาก แต่พวกคุณมาเดินป่าแต่งตัวกันเสื้อสีสดแบบนี้ ไม่มีทางได้เห็นสัตว์อะไรหรอก”
ฯลฯ
ผมอึดอัดกับการปฏิบัติตัวของพวกเขาพอสมควร คนอื่นๆในคณะก็คงรู้สึกเหมือนกัน จึงไม่ค่อยมีใครพูดคุยอะไรมากนัก เราไปนอนกันตั้งแต่หัวค่ำ
“อ๊ากกกกก อ๊ากกกกก อ๊ากกกกก” เสียงร้องดังลั่นขึ้นกลางแค้มป์ ผมยังจำเสียงร้องนั้นได้จนถึงทุกวันนี้แต่มันยากมากที่จะเขียนบรรยายเสียงนั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ
ผมกับพี่พิชญ์กระโดดลงจากเปลพร้อมไฟฉายในมือ เมื่อเราส่องแสงไฟฉายไปที่ต้นตอของเสียงเราก็พบใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเจ้าหน้าที่คนที่ผูกเปลขวางทางด่านอยู่ ผมเห็นหน้าเขาตอนนั้นแล้วเข้าใจได้เป็นครั้งแรกว่าคนที่ผมตั้งชี้ไปทั้งหัวเป็นอย่างไร
“เกิดอะไรขึ้นครับ” พี่พิชญ์ปรี่เข้าไปถาม
เจ้าหน้าที่คนนั้นอึกอักหันซ้ายหันขวาล่อกแล่ก พูดไม่ค่อยจะเป็นภาษาที่ใครจะเข้าใจได้
“เฮ่ย เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน มา มึงย้ายมานอนใต้เปลกูนี่” เจ้าหน้าที่อีกคนบอกเพื่อน
แค่นี้ผมก็พอจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ถามอะไรต่อและให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปนอน ผมดูนาฬิกา ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีหนึ่ง
ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่คนที่นอนขวางทางด่านแล้วร้องขึ้นมากลางดึกจึงเล่าเหตุการณ์ให้เราฟัง
“ผมนอนอยู่ในเปล ตื่นขึ้นมากลางดึก พอลืมตาก็เห็นตาแก่ผมยาวผมขาวไปทั้งหัวกำลังชะโงกหน้าลงมามองผมอยู่ในเปล ผมช็อคพยายามจะร้องก็ร้องไม่ออกอยู่พักหนึ่งแกก็มองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งส่งเสียงได้และคนอื่นตื่นขึ้นมานั่นและครับ”
ตอนสายๆเราเก็บแค้มป์เดินทางกลับออกมายังที่ทำการ ตอนเช้านี้รู้สึกว่าความ “กร่าง” ของเจ้าหน้าที่ทั้งสามจะหายไปจนหมดสิ้น พวกเขาพาเราเดินกลับออกมาเงียบๆ
จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจนัก ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆหรือมันอาจจะเป็นความฝันที่เจ้าหน้าที่คนนั้นนึกไปเอง แต่ที่แน่ๆผมไม่เคยคิดที่จะผูกเปลขวางทางด่านสัตว์เลย เพราะนั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำด้วยเหตุผลทั้งที่เราเข้าใจได้และไม่สามารถเข้าใจครับ
ขอบคุณครับพี่ เล่าเรื่องได้น่าติดตามมากครับ ตะรอตอนต่อๆ ไปครับ
น่าติดตาม มีแง่คิด สิ่งที่ควรทำ สนุกมากครับ
รอฟังเรื่องต่อไปครับ