Thursday, April 25, 2024
Homeชีวิตและการเดินทางเรื่องแปลกที่กลางป่าเรื่องแปลกที่กลางป่า ตอนที่ 1 เขาฟ้าผ่า

เรื่องแปลกที่กลางป่า ตอนที่ 1 เขาฟ้าผ่า

-

ผมเป็นคนที่มีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่ในป่าครับ มีเวลาหลบไปได้เมื่อไหร่เป็นต้องหนีไปนอนในป่าไม่ว่าจะเป็นชายป่าหรือป่าลึกแค่ไหนถ้ามีโอกาสมีใครชวนผมไปหมด จากการที่เข้าป่ามาในช่วงเวลาหลายสิบปีนี้ มีหลายครั้งที่ได้พบเจอเรื่องแปลกๆที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพื่อนๆหลายคนอยากจะให้ผมเขียนเล่าเรื่องมานาน มาวันนี้ลงมือซะที เร่ิมจากเรื่องแรกกันเลยครับ ขอบอกเลยครับว่า ทุกเรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องผมเองก็ไม่ได้ปักใจเชื่อยังสงสัยว่าคืออะไรที่เจอมาเองจริงๆครับ

ร่วมสิบปีมาแล้ว ตอนที่เพื่อนในกลุ่ม ThailandOutdoor เพิ่งจะรวมตัวกันได้ใหม่ๆ หลายคนอยากจะออกไปทดลองเดินป่า จึงมีการวางแผนว่าจะพาน้องใหม่หลายคนไปเดินป่ากันที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ช่วงนั้นบังเอิญว่าเจ้าหน้าที่เขาใหญ่ที่ผมรู้จักคุ้นเคยล้วนแต่ย้ายหน่วยหรือขาดการติดต่อหาตัวกันไม่เจอ (สมัยนั้นผู้คนยังไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือกันเหมือนทุกวันนี้นะครับ) จึงมี “ตุ๊ง” น้องในกลุ่มคนหนึ่งเป็นธุระให้โดยที่ไปติดต่อเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่เราไม่รู้จักมาก่อนมานำทางให้ โดยมีเป้าหมายกันอยู่ที่ “เขาฟ้าผ่า” ซึ่งเป็นยอดเขาอยู่ทางตะวันตก เราเดินทางไปกันในเดือนพฤศจิกายน 2549


เราออกเดินทางจากบริเวณใกล้ๆที่ทำการ คณะเรามีกัน 7 คน และมีเจ้าหน้าที่นำทางไป 3 คนเป็นเจ้าหน้าที่หนุ่มๆทั้งหมด กว่าจะออกเดินทางกันได้สายมากแล้ว

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เราเดินผ่านหน่วยคลองอีเฒ่าแล้วก็ตัดเข้าป่าไปอีก

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

“พวกคุณเดินช้ากันอย่างนี้ ไม่มีทางเดินถึงเขาฟ้าผ่าหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดอย่างหงุดหงิด พูดก็พูดเถอะผมไม่ชอบกริยาและคำพูดของพวกเขานัก พวกเขาทั้ง 3 ดูจะค่อนข้าง “กร่าง” และ “คุย” มาก เมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่ผมคุ้นเคยซึ่งสุภาพและซ่อนคมกันทุกคน กับสามคนนี้ผมกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่ค่อยมีคมให้ซ่อนกันสักเท่าไหร่

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ด้วยเหตุที่เราออกเดินกันสาย และก็เดินกันช้าด้วย ทำให้เราเดินไม่ถึงจุดหมายคือยอดเขาฟ้าผ่าจริงๆ

“วันนี้นอนที่นี่แหละ ผมบอกแล้วว่าเดินแบบนี้ไม่ไม่มีทางเดินถึงเขาฟ้าผ่าหรอก” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอกพลางปลดเป้ลงจากบ่า ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆเท่านั้นเอง

ผมมองไปรอบตัว บริเวณนั้นเป็นจุดที่ลำห้วยสองสายมารวมกัน อย่างที่มีคำเรียกว่า “สามแพร่ง” ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ แต่ที่ข้องใจมากก็คือพื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์ตั้งแต่หมูป่า,กวาง ไปจนถึงช้างเปรอะไปหมดจนแทบทุกตารางนิ้วและยังมีทางด่านสัตว์เดินผ่านชัดเจน

พื้นที่ที่เราจะตั้งแค้มคือบริเวณสามเหลี่ยมในภาพ เป็นจุดบรรจบกันของลำห้วยสองสาย พื้นที่นี้เต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์ที่ลงมากินน้ำ
พื้นที่ที่เราจะตั้งแค้มคือบริเวณสามเหลี่ยมในภาพ เป็นจุดบรรจบกันของลำห้วยสองสาย พื้นที่นี้เต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์ที่ลงมากินน้ำ
ดูรอยสัตว์ตรงพื้นที่ที่จะตั้งแค้มป์นะครับ
ดูรอยสัตว์ตรงพื้นที่ที่จะตั้งแค้มป์นะครับ มันเป็นอย่างนี้ไปรอบด้านเลยครับ

“ผมว่าพื้นที่มันไม่น่าตั้งแค้มเลยนะ มันเป็นจุดที่สัตว์ลงมากินน้ำกัน นี่เพิ่งยังไม่สี่โมง เราเดินกันไปอีกหน่อยก็ได้นะครับ” ผมพูดกับเจ้าหน้าที่ทั้งสาม

“คุณกลัวเหรอ มากับพวกผมนี่ไม่ต้องกลัวหรอก สามแพร่งนี่ก็ไม่เป็นไร นอนที่นี่แหละ” คนหนึ่งพูดแบบไม่สนใจผมนัก

ผมจัดให้น้องๆในคณะผูกเปลใกล้ๆกัน โดยมีผมและพี่พิชญ์นักเดินป่ามือเก่าอีกคนผูกเปลกันอยู่ด้านนอก เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนผูกเปลอยู่เรียงรายกันห่างเราออกไปเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นที่ก่อกองไฟและนั่งกินข้าว

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

ผมสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งผูกเปลขวางด่านสัตว์(ทางเดินสัตว์) ไว้ ยังนึกในใจว่าหมอนี่ใจถึงแฮะ

ตอนค่ำเราล้อมวงกันกินข้าวใกล้ๆกองไฟ เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนเอาหล้าออกมากินกัน โดยที่พวกเราไม่มีใครกินเหล้าเลย พอเหล้าเข้าปาก ดูเหมือนพวกเขาจะ “คุย” มากขึ้น

“ป่าแถวนี้พวกผมเดินตรวจกันบ่อยจนปรุแล้วไม่ต้องกลัวหรอก”

“นี่เราเดินมายังไม่ถึงครึ่งทางเลย พวกคุณเดินกันช้ามาก ผมบอกแล้วว่าเดินแบบนี้ไม่ถึงเขาฟ้าผ่าหรอก”

“สัตว์แถวนี้เยอะมาก แต่พวกคุณมาเดินป่าแต่งตัวกันเสื้อสีสดแบบนี้ ไม่มีทางได้เห็นสัตว์อะไรหรอก”

ฯลฯ

ผมอึดอัดกับการปฏิบัติตัวของพวกเขาพอสมควร คนอื่นๆในคณะก็คงรู้สึกเหมือนกัน จึงไม่ค่อยมีใครพูดคุยอะไรมากนัก เราไปนอนกันตั้งแต่หัวค่ำ


“อ๊ากกกกก อ๊ากกกกก อ๊ากกกกก” เสียงร้องดังลั่นขึ้นกลางแค้มป์ ผมยังจำเสียงร้องนั้นได้จนถึงทุกวันนี้แต่มันยากมากที่จะเขียนบรรยายเสียงนั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ

ผมกับพี่พิชญ์กระโดดลงจากเปลพร้อมไฟฉายในมือ เมื่อเราส่องแสงไฟฉายไปที่ต้นตอของเสียงเราก็พบใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเจ้าหน้าที่คนที่ผูกเปลขวางทางด่านอยู่ ผมเห็นหน้าเขาตอนนั้นแล้วเข้าใจได้เป็นครั้งแรกว่าคนที่ผมตั้งชี้ไปทั้งหัวเป็นอย่างไร

“เกิดอะไรขึ้นครับ” พี่พิชญ์ปรี่เข้าไปถาม

เจ้าหน้าที่คนนั้นอึกอักหันซ้ายหันขวาล่อกแล่ก พูดไม่ค่อยจะเป็นภาษาที่ใครจะเข้าใจได้

“เฮ่ย เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน มา มึงย้ายมานอนใต้เปลกูนี่” เจ้าหน้าที่อีกคนบอกเพื่อน

แค่นี้ผมก็พอจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ถามอะไรต่อและให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปนอน ผมดูนาฬิกา ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีหนึ่ง

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่คนที่นอนขวางทางด่านแล้วร้องขึ้นมากลางดึกจึงเล่าเหตุการณ์ให้เราฟัง

“ผมนอนอยู่ในเปล ตื่นขึ้นมากลางดึก พอลืมตาก็เห็นตาแก่ผมยาวผมขาวไปทั้งหัวกำลังชะโงกหน้าลงมามองผมอยู่ในเปล ผมช็อคพยายามจะร้องก็ร้องไม่ออกอยู่พักหนึ่งแกก็มองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งส่งเสียงได้และคนอื่นตื่นขึ้นมานั่นและครับ”

ตอนสายๆเราเก็บแค้มป์เดินทางกลับออกมายังที่ทำการ ตอนเช้านี้รู้สึกว่าความ “กร่าง” ของเจ้าหน้าที่ทั้งสามจะหายไปจนหมดสิ้น พวกเขาพาเราเดินกลับออกมาเงียบๆ

จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจนัก ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆหรือมันอาจจะเป็นความฝันที่เจ้าหน้าที่คนนั้นนึกไปเอง แต่ที่แน่ๆผมไม่เคยคิดที่จะผูกเปลขวางทางด่านสัตว์เลย เพราะนั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำด้วยเหตุผลทั้งที่เราเข้าใจได้และไม่สามารถเข้าใจครับ

rec300

ตาเกิ้น
ตาเกิ้นhttp://takern.wordpress.com
นักสำรวจ, นักเขียน และนักเล่าเรื่อง

2 COMMENTS

  1. ขอบคุณครับพี่ เล่าเรื่องได้น่าติดตามมากครับ ตะรอตอนต่อๆ ไปครับ

  2. น่าติดตาม มีแง่คิด สิ่งที่ควรทำ สนุกมากครับ
    รอฟังเรื่องต่อไปครับ

Leave a Reply to ยงยุทธCancel reply

LATEST POSTS

กบต้มน้ำร้อน

เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหลบอยู่ในห้องแอร์แล้วเปิดเครื่องกรองอากาศให้รอดไปวันๆครับ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วค่อยๆทวีความรุนแรงมาเรื่อยๆ จนหลายคนเริ่มเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ แก้ไขไม่ได้ ต้องทนต้องปรับตัวกับมันไป ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะเหมือนกับกบที่อยู่ในหม้อที่น้ำค่อยๆร้อนขึ้นทีละน้อยจนสุกทั้งตัวกินได้

ข้าวแช่, ร้านค้าเล็กๆ และ เศรษฐศาสตร์ “ชั่วข้ามคืน”

ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดแสนอร่อยเจ้าประจำของผมที่เมืองประจวบ มีแผงขายข้าวแช่อยู่ คนขายเป็นคุณยายใจดี เราคุยกันทุกครั้งที่ผมแวะไป และก็สั่งข้าวแช่ของแกมากิน ครั้งนี้ก็เช่นกัน “เหลืออยู่แค่ 5 ชุด เหมาเลยมั๊ย” คุณยายถาม ครั้งนี้เรามากันหลายคนข้าวแช่ 5 ชุดจึงแทบจะแย่งกันกิน ข้าวแช่ของยาย ก็คล้ายๆกับข้าวแช่ที่หลายๆคนคุ้นเคยแถวเพชรบุรี ไม่ได้มีกับหลายอย่างประดิษประดอยแบบข้าวแช่ที่ขายกันแพงๆในเมืองกรุง เครื่องมีเพียง 2 อย่างคือลูกกระปิทอด กับปลาหวาน แต่อร่อยมากครับ ข้าวและน้ำข้าวแช่นั้นหอมมาก แกเคยเล่าให้ฟังว่าที่หอมอย่างนี้เพราะอบด้วยดอกชมนาดที่ออกดอกในช่วงหน้าแล้งอย่างนี้และต้องเก็บตอนเย็นจึงจะหอมที่สุด และยังคุยว่าข้าวแช่ของแกนั้นเคยได้รับรางวัลจากการประกวดด้วย อร่อยมาก ชุดหนึ่งไม่น้อยเลย แทบจะอิ่มได้หนึ่งมื้อ...

ของแท้ดั้งเดิม (Authenticity)

เริ่มมันเริ่มจากขณะที่เรากำลังเดินทางกลับจากแค้มป์ในทริปหนึ่ง ผู้การตู้น้องรักก็ชวนเราแวะกินข้าว “พี่ครับ แถวบ้านผมมีศูนย์อาหารเปิดใหม่ มีร้านดังๆมากมาย ขาหมูตรอกจุง, ข้าวหน้าไก่หกแยก ฯลฯ เราแวะกินกันมั๊ยครับ” เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะจุดประกายให้ผมเริ่มบทสนทนาที่คล้ายคนแก่เล่าเรื่องเก่า เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมมีร้านโจ๊กเจ้าประจำอยู่ร้านหนึ่ง อยู่หน้าโรงพยาบาลหัวเฉียว ใกล้โบ้เบ้ ผมได้กินโจ๊กร้านนี้มาตั้งแต่พ่อไปหาหมอที่นั่น นับย้อนหลังไปได้กว่า 20 ปี ร้านเป็นห้องแถวห้องเดียว อาเจ็กแกต้มโจ๊กขายหม้อเดียวในแต่ละวัน สายๆขายหมดก็เลิก บ้างวันผมมาสายก็ไม่ได้กิน ผู้คนที่แวะเวียนมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในละแวกนั้น อาซ้อก็มาช่วยทำช่วยขาย ผมแวะไปกินโจ๊กทุกครั้งที่ไปแถวๆนั้น นอกจากโจ๊กของแกอร่อยมากแล้ว อาเจ็กก็เป็นกันเองมาก ต้มน้ำชาร้อนมาให้ผมจิบแก้เลี่ยนจากปาท่องโก๋ที่ผมข้ามถนนไปซื้อมา  เรานั่งคุยกันเสมอ ถามสารทุกข์สุกดิบกัน แกเคยเล่าให้ผมฟังว่าอยู่ย่านนี้มาตั้งแต่เกิด...

คุณค่าที่คลาดเคลื่อน

https://www.youtube.com/watch?v=NF2EMmR3foQ ถ้าคุณใจไม่หนักแน่นพอ ผมไม่แนะนำให้ไปเดินป่าระยะไกล 101 กิโลเมตรที่แม่เงานะครับ ในชีวิตผมเดินป่ามาก็ไม่น้อย แต่การเดินป่าติดกันยาวนาน 9 วัน มันทำให้ผมเปลี่ยนไปมากว่าที่จะคาดคิด มันอาจจะเป็นความยาวนาน อาจจะเป็นสภาพที่ดิบของป่าเขา หรืออาจจะเป็นตัวผมเองอยู่ที่สุดขอบความคิดที่สุกงอมเต็มที่ หรืออาจจะเป็นสิ่งเหล่านี้ประกอบกัน ระหว่างอยู่ในป่าก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เราก็แค่เดินไปทีละวัน มันก็แค่ไกลและหลายวันหน่อยเท่านั้น แต่มาเห็นผลตอนที่ออกจากป่ากลับมาสู่สังคมเมือง ผมพบว่าผมคุยกับใครแทบไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องภาษาหรือคำพูด แต่หากเป็นสิ่งที่อยู่ลึกอยู่ใต้การสนทนานั้น เมื่อมีคนคุยเรื่องอะไรขึ้นมาผมก็พบว่าผมไม่สนใจจะฟังเรื่องเหล่านั้น และรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ผมอยากจะคุยอยากจะเล่าก็ไม่มีใครอยากฟัง เปิดโซเชี่ยลมีเดียขึ้นมายิ่งหนักขึ้นไปอีก เต็มไปด้วยเรื่องที่ดูแล้วกวนใจ ทนไม่ได้กับการเห็นอะไรมากมายที่ก้าวข้ามเส้นจริยธรรมเพียงเพื่อเรียกร้องความนิยม นอกจากนั้น มองไปรอบตัวเมื่อเห็นสิ่งของมนุษย์สร้างขึ้นและเรื่องราวที่สังคมปรุงแต่งขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มองเห็นมันเป็นของปลอมๆกับเรื่องสมมุติ  อะไรที่เราเคยอยากได้อยากมี...

Most Popular

Discover more from ThailandOutdoor Netzine

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading