คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อได้เกิดมาในโลกนี้แล้วทุกคนจะต้องรู้จักเลือกว่าตนเองต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ไม่ว่าจะรวยหรือจนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ บางคนเลือกแล้วมีความสุขกับชีวิตในแบบที่ตนเองเลือก บางคนเลือกแล้วแต่ชีวิตกลับไม่มีความสุขไม่สมหวังตามที่คิดหรือใฝ่ฝันไว้ แต่มันจะไม่ถึงกับสายจนเกินไปถ้าคนๆนั้นรู้ตัวทันแล้วปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่
คนเราตอนที่ยังเป็นเด็กก็มักจะอยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ
พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็อยากแต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากมีทรัพย์สินเงินทอง อยากมีชื่อเสียง อยากให้คนนับหน้าถือตา บางคนทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีเวลาให้ลูกเมีย ไม่มีเวลาแม้แต่หาความสุขให้ตัวเอง คิดแต่ว่าจะต้องทำงานให้ได้เงินเยอะๆ ยิ่งหาได้มากเท่าไรก็ยิ่งอยากได้มากขึ้น คิดว่าเงินคือสิ่งที่จะนำมาซึ่งความสุขในชีวิต ต้องทำงานจนกว่าอายุจะครบเกษียณอายุ บางคนถึงวัยเกษียณแล้วแต่ก็ยังไม่อยากเกษียณ ยังอยากทำงานเก็บเงินต่อทั้งที่มีทรัพย์สินและเงินทองมากมายเหลือใช้ ทั้งนี้เพราะใจมันร้องบอกว่ายังอยากที่จะมีมากกว่าที่มีอยู่ มีมากเท่าไรยิ่งดี บางคนไม่อยากเกษียณเพราะไม่รู้จะทำอะไรหลังเกษียณ กลัวจะเหงาไม่มีอะไรทำ กลัวจะไม่มีเพื่อน กลัวเป็นคนที่ไร้คุณค่า และพอแก่ชราลงไม่มีแรงเดินเหินไปไหนทำอะไรเองไม่ได้ มีเวลานึกถึงอดีต นึกถึงความสุข นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้ทำผิดพลาด นึกถึงสิ่งที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำ นึกถึงอดีตที่อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้าย้อนเวลากลับไปได้
ชีวิตของคุณมีความสุขไหม?
ทุกๆช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมเคยถามตัวเองว่าชีวิตของผมมีความสุขไหม ดูเหมือนทุกครั้งผมจะตอบเข้าข้างตัวเองตลอดว่ามีความสุขดี ถ้าถามว่าในชีวิตผมเคยทำอะไรผิดพลาดไหม บอกได้เลยว่าในชีวิตผมได้ทำอะไรที่ผิดพลาดไว้เยอะ เลยเอามาเขียนไว้เป็นข้อคิดสำหรับคนที่อาจจะกำลังก้าวไปแนวทางที่ผมเคยเดิน ไม่ได้ต้องการจะชี้แนะว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรไม่ดี เพราะชีวิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความต้องการในชีวิตแตกต่างกัน มันอาจจะใช่สำหรับผมแต่อาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่น
ตอนเป็นเด็กจำได้ว่าอยากโตเร็วๆเพราะไม่ชอบเรียนหนังสือ เป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่อยากไปโรงเรียน ชอบหลอกพ่อแม่ว่าไม่สบายจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน เป็นเด็กเกิดที่ต่างจังหวัด ชีวิตมีความสุขตามประสาเด็กๆ เกกมะเหรกเกเรเที่ยวเล่นยิงนกตกปลาไปวันๆ ไม่เคยกังวลว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปโรงเรียน ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนไปทำไม
สมัยที่เป็นเด็กอยู่ต่างจังหวัดไม่คิดว่าจะได้เรียนสูงๆหรอก ถ้าได้เรียนถึงม.3 ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะในที่สุดก็คงต้องออกมาช่วยพ่อแม่เฝ้าร้านขายของอยู่ดี
ชีวิตของผมมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่แล้วชีวิตก็เกิดผันผวน อยู่ๆก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพ ตอนนั้นเพี่งจะเรียนจบป.6 จากโรงเรียนวัด ไม่รู้หรอกว่าทำไมต้องย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ กลายเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุง ความที่เป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งและไม่ชอบเรียนอยู่แล้วพอเข้ากรุงมันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ เด็กบ้านนอกคนนี้เรียนตามเด็กในกรุงไม่ค่อยจะทัน ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ยิ่งตามเพื่อนไม่ทัน มันยิ่งทำให้เด็กบ้านนอกคนนี้ไม่อยากไปโรงเรียน ทางบ้านก็มักจะพูดเข้าหูอยู่บ่อยๆว่ามันเรียนไม่เก่ง สู้พี่ๆมันไม่ได้สักคน ได้ยินบ่อยๆเข้ามันเลยฝังใจกลายเป็นปมด้อยให้กับเด็กบ้านนอกคนนี้
และแล้วชีวิตก็เกิดผันผวนขึ้นอีกครั้ง มีคนเห็นว่าถ้าให้เด็กบ้านนอกคนนี้อยู่เมืองไทยต่อไปมันคงไม่ได้ดิบได้ดีอะไรกับเขาหรอก เรียนก็ไม่เก่ง สอบเข้าเรียนที่ไหนก็ไม่ได้ ญาติที่ยูเอสเลยให้ยืมเงินเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปเรียนที่ยูเอส ให้ยืมเงินก่อนแล้วค่อยไปทำงานใช้เงินคืนที่นั่น เด็กบ้านนอกคนนี้ก็เลยได้ไปเรียนที่ยูเอส ต้องไปเรียนซ้ำชั้นม.3 หนี่งปีในระดับไฮสคูลเพราะยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วยเพราะต้องหาเงินใช้คืนค่าตั๋วเครื่องบินและต้องทำงานเก็บเงินเพื่อเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย
ความที่ยังเป็นเด็ก การจากเมืองไทยไปอยู่ยูเอสก็เลยค่อนข้างลำบาก ยังเป็นเด็กอยู่เลยแต่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ต่างแดน เป็นเด็กที่ไม่เคยต้องทำงานมาก่อน พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ เหงาก็เหงา คิดถึงบ้านก็คิดถึง ลำบากก็ลำบาก เป็นเด็กที่ต้องออกไปผจญโลกอันกว้างใหญ่ด้วยตัวคนเดียว ถึงแม้จะมีญาติและพี่อยู่ที่นั่น แต่พวกเขาก็ต้องเรียนต้องทำงานเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับเรา ก็เลยไม่มีเวลามาดูแลกัน ผมไม่โทษใคร เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ทำงานหาเงินเรียนด้วยตัวเองจนจบระดับมหาวิทยาลัย ชีวิตที่นั่นมันช่วยสอนให้เราสู้ชีวิต สอนให้เราต้องเข้มแข็ง สอนให้เราต้องยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตนเองให้ได้ ชีวิตจะเดินต่อไปข้างหน้าในทางที่ดีหรือในทางที่เลวร้ายมันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมได้จากการที่ได้ไปใช้ชีวิตในต่างแดนก็คือการได้รู้จักใช้ชีวิตด้วยตนเอง ได้รู้จักสู้ชีวิต ได้รู้จักใช้ชีวิตบนลำแข้งของตัวเอง มันเป็นความรู้สีกที่ยิ่งใหญ่ที่รู้ว่าเราทำได้ มันทำให้เรามั่นใจว่าไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าจะลำบากสักแค่ไหน ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาหนักหนาสักแค่ไหนเราจะฝ่าฟันผ่านมันไปได้ แต่การที่ผมรู้ว่าผมสามารถใช้ชีวิตบนลำแข้งของตัวเองได้โดยไม่ต้องพี่งพาใคร มันทำให้ผมกลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ชอบอยู่คนเดียว เก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม และภาษาอังกฤษที่ได้ติดตัวกลับมาเมืองไทยก็ไม่ดีเท่าที่ควร นี่เป็นเรื่องที่ตนเองค่อนข้างเสียดาย เพราะถ้าผมไม่ได้สร้างโลกส่วนตัวมากเกินไปไม่เก็บตัวมากเกินไป ผมคงจะมีเพื่อนมากกว่าที่มี คงได้เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆในยูเอสมากกว่าที่ได้ไป และคงจะได้ภาษาที่ดีกว่านี้กลับเมืองไทย
เมื่อเรียนจบและกลับมาเมืองไทยแล้ว ได้ทำงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง จากประสบการณ์ชีวิตที่ลำบากที่ยูเอส ทำให้ผมตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำงาน บอกตัวเองว่าต้องขยันทำงานเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องทำงานเพื่อเก็บเงินให้ได้เยอะๆ
มันเป็นการใช้ชีวิตที่อยู่กับงาน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ หลายๆครั้งนอนค้างที่ทำงานเพื่อทำงานให้เสร็จ เพื่อนฝูงไม่คบหา เพราะชินกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียว แทบจะไม่ค่อยได้ใช้วันหยุดพักร้อนเพราะคิดว่าเราต้องมีความรับผิดชอบต่องานและต่อบริษัท ทุกๆปีจะมีจำนวนวันหยุดพักร้อนเหลือบานตะไท ภรรยาจะเตือนอยู่เสมอว่าบริษัทเขามีวันหยุดพักร้อนให้เราก็ควรจะหยุดพักร้อนยาวๆไปเที่ยวกันบ้าง ถึงบริษัทเขาไม่มีเราเขาก็อยู่กันได้ แต่ก็ไม่เคยฟัง ยังคงมุ่งหน้าใช้ชีวิตกับงานต่อไป โชคดีที่ภรรยาทำงานอยู่บริษัทเดียวกันเขาจึงเข้าใจและไม่ตัดพ้อต่อว่า
ใช้ชีวิตเช่นนี้ตลอดชีวิตการทำงานจริงๆ ทำงานจนใบหน้ามีแต่ความเหี่ยวย่น ผมหงอกขาวทั้งหัว และแก่เกินวัย เพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำมากเกินไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องเดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศ พาภรรยาไปด้วย จำได้ว่าตอนนั้นผมได้เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปแล้วยืนรอภรรยาที่กำลังจะเดินผ่านด่านเข้ามา ได้ยินเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองถามภรรยาผมว่าเดินทางมาคนเดียวหรือ ภรรยาชี้นิ้วไปที่ผมแล้วบอกว่ามากับผู้ชายคนนั้น เจ้าหน้าที่มองมาทางผมแล้วก็พยักหน้าบอกว่า อ๋อมากับคุณพ่อ ถ้าอย่างนั้นเชิญเดินผ่านไปได้เลย ตอนนั้นผมได้ยินชัดเจนมาก ทนไม่ได้ต้องเดินเข้าไปบอกว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นว่าฉันไม่ใช่พ่อของผู้หญิงคนนี้ ฉันเป็นสามีของเธอ
แต่ความจริงก็คือความจริง หลังจากนั้นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เริ่มได้ยินเด็กๆหลายคนเรียกผมว่าคุณตา เวลานั่งแท๊กซี่คนขับแท๊กซี่ที่มีอายุไม่ห่างจากผมมากนักเริ่มเรียกผมว่าลุง เวลานั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ออกไปหน้าซอย เริ่มได้ยินคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างถามว่าป๋าจะไปไหน
ครั้งหนึ่งไปเที่ยวที่เชียงใหม่ ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตอนเช้าลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารในโรงแรม นั่งทานข้าวอยู่กับภรรยาได้สักพัก ภรรยาก็พูดให้ผมได้ยินเบาๆว่า เห็นผู้หญิงที่โต๊ะนั้นไหม นั่งมองเราสองคนนานแล้ว ผมก็เลยมองไปที่โต๊ะนั้น เห็นผู้หญิงคนนั้นจ้องมองพวกเราตาไม่กระพริบ สายตาดูไม่เป็นมิตรเลย มองเหมือนรังเกียจและขยะแขนงพวกเรามากๆ จะจ้องมองภรรยาผมเป็นพิเศษเพราะภรรยาผมดูอ่อนวัยกว่าผมมาก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคงจะขยะแขยงภรรยาผมมาก คงคิดว่าภรรยาผมเป็นอีหนูที่ตาแก่อย่างผมแอบพามานอนด้วยที่โรงแรม
และแล้ววันที่ทำให้เกิดความผันผวนในชีวิตผมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง วันนั้นบังเอิญเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก เห็นหน้าตัวเองแล้วสะดุ้งตกใจ ตกใจกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ผมหงอกขาวเต็มหัว ทำไมเราถึงดูแก่อย่างนี้ เพื่อนๆยังดูไม่แก่กันเลย
เล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาได้ฟังแล้วก็หัวเราะ ภรรยาบอกว่าก็สามีทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอมาหลายปี ไม่มีเวลาหาความสุขใส่ตัว ไม่สนใจดูแลตัวเองมันก็เลยเป็นอย่างนี้แหล่ะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มทำให้ผมต้องคิด เริ่มมีคำถามกับการใช้ชีวิตของตนเองว่ามันเป็นการใช้ชีวิตที่ถูกต้องไหม ยังจะต้องมีทรัพย์สินเงินทองมากมายอย่างที่เคยอยากมีไหม เริ่มถามตัวเองว่าทรัพย์สินเงินทองต้องมีมากเท่าไรถึงจะพอ หรือว่ามันจะไม่มีวันพอเพราะยิ่งได้มากเท่าไรก็ยิ่งอยากมี
จนวันหนึ่งบอกกับตัวเองว่า พอแล้ว หยุดได้แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะที่เราอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ มันถึงเวลาออกไปทำอะไรที่อยากทำเสียที
เมื่อได้คิดและคุยกับภรรยาจนตัดสินใจได้แล้วก็ไปยื่นใบลาออกจากงานเพื่อเกษียณก่อนอายุ
ทุกวันนี้มีความสุขมากๆ
ทุกวันนี้ใช้ชีวิตแบบสมถะ เป็นชีวิตที่ติดดินพอมีพอใช้ เป็นชีวิตที่ไม่ได้ต้องการให้ใครมานับหน้าถือตา เป็นชีวิตที่ไม่ต้องแต่งตัวโก้หรูไปให้ใครดู ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ใส่กางเกงขาสั้นเก่าๆที่ขาดแล้วป่ะ ขาดแล้วป่ะ ใส่รองเท้าแต่ะเก่าๆคู่หนึ่งที่ทากาวซ่อมไปหลายครั้งจนจำไม่ได้ว่าทากาวซ่อมไปกี่ครั้งแล้ว กลายเป็นอาแป่ะที่ออกไปท่องเที่ยว ออกไปเดินถ่ายรูป แปลกนะอยู่ๆการถ่ายรูปกลายเป็นสิ่งที่ชอบทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน
เมื่อก่อนทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่ออะไร ….เพราะวันนี้เพียงต้องการใช้ชีวิตง่ายๆ ธรรมดาๆ มีชีวิตแบบพอเพียง ไม่ต้องร่ำรวย ไม่ต้องมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย …กลายเป็นอย่างนั้นไป
เดี๋ยวนี้จะเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อท่องเที่ยวและถ่ายรูป แต่ละที่ที่ไปหลายๆครั้งไปอยู่นานเป็นเดือน ไม่มีห่วง ไม่มีความเครียด ไม่มีความกังวลเรื่องงาน ไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงมันสักนิดหนึ่ง มันเป็นโลกใบใหม่ที่ผมได้เจอ เป็นโลกที่ผมนึกเสียดายอยู่นิดหนึ่งที่เจอมันช้าไปหน่อย
วันที่ไปลาออกจากงาน วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกโล่งเหมือนเอาทุกอย่างออกจากอก ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนั้นเลย รู้สึกเพียงแต่ว่าตัวเองนั้นโชคดีที่คิดได้เมื่อมันยังไม่สายจนเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงจะบอกตัวเองให้ใช้ชีวิตแบบที่มีความสมดุลระหว่างการใช้เวลาเพื่อหาความสุขใส่ตัวกับการทำงาน เงินไม่ใช่สิ่งเดียวที่นำมาซึ่งความสุขในชีวิต คนเรามีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมาย เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ชีวิต
ผิดหรือถูกไม่รู้ รู้แต่ว่าชีวิตคงจะมีความสุขมากขึ้นเยอะทีเดียว