“Trekking in the NEPAL HIMALAYA”
ตอนที่ 5 : “ภาพที่สวยที่สุด บนเส้นทางยาวไกลที่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง”
เราตื่นเช้ามาด้วยความมึนงง เดินออกมาล้างหน้าแปรงฟันจากก็อกน้ำที่ผ่านตู้ทำน้ำแข็งบนยอดเขาลงมาสู่ปลายนิ้วมือ สัมผัสแรกทั้งเย็น ทั้งชา จากง่วงๆ ตาก็สว่างเหมือนกดสวิตได้
พี่ปั้นนั่งต้มกาแฟกินในห้องกลิ่นหอมฉุย กาแฟอุ่นๆ ในแก้วสแตนเลสช่วยให้นิ้วมือเย็นๆกลับมาสู่อุณภูมิปกติ เรานั่งมองวิวนอกหน้าต่าง ภูเขาสีเขียวที่มีหิมะคลุมอยู่บนยอดเล็กน้อยช่วยทำให้กาแฟในมือเราอร่อยขึ้น หลังจากดื่มกาแฟจนหมดกับทานอาหารเช้านิดหน่อยเราก็เก็บของลงเป้และเดินมาบอกลาป้าเจ้าของโรงแรมใจดีที่ยืนยิ้มให้เราตั้งแต่ได้ยินแค่เสียงประตุห้องเปิด
เราออกเดินจาก PHAKDING ตั้งแต่ 8 โมงเช้า เราค่อยๆ เดินฝ่าลมหนาวอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศโดยรอบ โดยจุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือ “NAMCHE BAZAR” เมืองหลวงแห่งภูมิภาพเอเวอเรส ตั้งแต่เราเดินพ้นตัวชุมชนของหมู่บ้าน PHAKDING เราต่างหยุดมองภาพตรงหน้าหลายต่อหลายครั้งโดยไม่ได้พูดจากัน สิ่งที่เราเห็นคือภาพหมู่บ้านที่สวยที่สุดที่หนึ่งในชีวิตเรา
บ้านหนึ่งหลังที่ทำด้วยหินที่สกัดด้วยมือทีล่ะก้อนค่อยๆซ้อนเรียงกันอย่างสวยงาม กับอาณาบริเวณหน้าบ้านที่เป็นสนามหญ้ากว้างขวางพอให้วิ่งเล่นได้จนเหนื่อย ถัดจากสนามหญ้าเป็นลำธารใสแจ๋วสายใหญ่ที่ไหลมาจากยอดเขาสูง ถัดจากลำธารสีสวย เงยหน้าสูงขึ้นไปเป็นภูเขาน้อยใหญ่สีเขียวสดแต่แอบแซมหิมะไว้บนยอดอย่างสวยงาม และนั่นคือทั้งหมดที่ทำให้เราต้องหยุดหลายต่อหลายครั้งเพื่อมอง เพื่อจดจำ เพื่อซึมซับ และเพื่อผ่อนคลาย ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น เกือบทำให้เราลืมไปว่า เป้บนไหล่เราหนักแค่ไหน และเราต้องเดินอีกไกลเท่าไหร่ และที่นั่นคือ PHAKDING
หลังจากชื่นชมจนหนำใจ เราออกเดินต่อไปเรื่อยๆ ในช่วงต้นทางเราเจอเด็กน้อยมากมายกำลังจูงมือกันวิ่งขึ้นเขาอย่างเร็วปี๊ดเพื่อไปโรงเรียน เพราะที่นี่อากาศหนาว แก้มเด็กๆจึงแดงจัด แบบน่าเอ็นดูที่สุด
เรายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ทางที่เคยสนุก กลับเริ่มมีเม็ดเหงื่อเข้ามาแทนรอยยิ้ม
และเมื่อผ่านสะพานเหล็กที่โรยตัวยาวข้ามลำธารสายนี้ไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ทางก็ไม่มีคำว่าปกติอีกเลย ทางเริ่มแคบลง แคบลง และชันขึ้นตลอดเวลา เป้บนไหล่ที่เคยสบายๆในวันแรกเริ่มออกอาการ เราเดินช้าลง หายใจแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนทางก็ไกลขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
พี่ปั้นยกนาฬิกาขึ้นมอง SUUNTO บอกเราว่าเรายังมาไม่ถึงครึ่งทาง ในขณะที่ตอนนี้บ่าย 2 กว่าแล้ว น้ำเราหมดทั้ง 2 คน พี่ปั้นจึงตัดสินใจมองหาที่เหมาะๆ นั่งพักเหนื่อยและกรองน้ำ เรายังคงนั่งดื่มน้ำอย่างใจเย็น และคิดตลอดเวลาว่า ทางที่เหลือคงไม่ไกลเกินจะเร่งฝีเท้าแบบที่เราเคยทำอยู่เสมอ แต่เราคิดผิด
บ่าย 3 เรายังคงเดินไม่พ้นลำธาร และได้แต่เฝ้ามองลูกหาบคนแล้วคนเล่าที่จ้ำอ้าวเดินแซงเราไป
เราล่ะสายตาจากลูกหาบแล้วมองขึ้นไปบนยอดเขา เห็นสะพานแขวนยาวเหยียดที่อยู่สูงที่สุดและไกลที่สุดเท่าที่เราข้ามมาในวันนี้
จากข้างลำธารเราเดินไปอยู่บนปลายสะพานในเวลา 4 โมงเย็น พร้อมกับอาการหอบจนตัวโยน เรารีบเดินข้ามสะพานอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เท่าใจเราที่เต้นเร็วซ่ะจนแทบจะหลุดออกมานอกอก
หลังจากพ้นขอบสะพานมาได้ไม่นาน พี่ปั้นก็เจอสิ่งที่เค้าอยากเจอที่สุด จะถือว่าเป็นความโชคดีที่ปะปนในเสียงหอบก็ว่าได้ เรามาได้เวลาออกหากินของฝูงแพะภูเขาฝูงใหญ่พอดิบ พอดี เราพร้อมใจกันหยุดเพื่อหลีกทางให้เจ้าถิ่นได้เดินผ่านไปแบบสบายอกสบายใจ ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ อีกหนึ่งเรื่องในวันนี้ของเรา
หลังจากเจ้าถิ่นเปิดทางให้เราผ่าน เราต่างเอาเป้ขึ้นหลังแล้วออกเดินอีกครั้ง ทางยังคงชันขึ้นเรื่อยๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆ แสงสว่างที่เคยมี ค่อยๆ ริบหรี่ลง พร้อมอากาศอุ่นที่ถอยห่างเราออกไปทีละน้อย ณ ตอนนี้เกือบ 2 ทุ่มแล้ว เส้นทางรอบตัวเรามืดสนิท ไร้ผู้คน มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงในมือต่ายเท่านั้นที่ช่วยนำทาง เรายังคงมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางของเราสักที และนั่นยิ่งทำให้เรา ….ท้อ….