“Trekking in the NEPAL HIMALAYA”
ตอนที่ 3 : “ก้าวแรกที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม”
เราถึงที่ “LUKLA” สนามบินที่เล็กที่สุด เท่าที่เราเคยเจอ รันเวย์เป็นเหมือนแล้มสเก็ตบอร์ด ไว้ช่วยเบลคเครื่องบินลำจิ๋วนี้ให้เบาพอจะเลี้ยวหักซอกเข้าจอดแบบยูเทิร์นเตรียมบินออกอีกครั้ง เราปลดเข็มขัดแล้วเดินออกมานอกเครื่องบิน สัมผัสแรกคือไอเย็นเหมือนเราเปิดตู้แช่ปลาพัดวูบเข้ามาจนกระชับเสื้อแนบอกแทบไม่ทัน เราหันมาสบตากันแล้วหัวเราะ ต่างก็คิดในใจ “หนาวชิบหาย” โดยที่เราไม่รู้เลย ว่านั่นคืออากาศที่ร้อนที่สุดที่เราจะเจอแล้วในทริปนี้
เราถึง Lukla เช้ามาก พร้อมทั้งกองทัพไกด์และลูกหาบที่พยายามจะโน้มน้าวให้เราเป็นลูกค้า ด้วยความตื่นกลัวเล็กน้อย เราหอบเป้มาหลบทำใจอยู่ในร้านกาแฟชื่อเดียวกับร้านเจ้าประจำของเราที่เมืองไทย แว๊บแรกที่เห็นภายในร้านก็รู้สึกได้ทันทีว่า LUKLA กำลังถูกความเป็น “เมือง” ของคนต่างถิ่นอย่างเราๆ แทรกซึมทีละน้อย
หลังจากหอบเป้หนักอึ้งหลบหนาวมาที่นี่ และได้กาแฟอุ่นๆ ไปหนึ่งแก้ว สติที่กระจัดกระจายก็กลับเข้าที่เข้าทาง เราเริ่มติดต่อครอบครัวและเพื่อนๆ ให้รู้ถึงความเป็นไปว่าเราอยู่รอดปลอดภัยและจะหายไปอีกกี่วัน
เราเตรียมน้ำและของจำเป็นนิดหน่อย และเริ่มออกเดินผ่านประตูทางเข้าเส้นทางสู่เอเวอเรสอย่างเป็นทางการในเวลา 9:00 น. เป็นเวลาที่ฟ้าสดใสและใจแข็งแรงที่สุด เดินไปพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะบ้างในบางครั้ง อะไรๆก็ดูสวยงามและน่าตื่นเต้นไปหมด
ด้วยความที่เรามากันแค่สองคน “ไม่มีลูกหาบ ไม่ได้จ้างจามารีแบกของ ไม่มีไกด์ เหมือนคนอื่นเค้า” ไม่ใช่เพราะเราเก่งเหนือใคร หรือเปรี้ยวอยากจะเท่ แต่ค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเพิ่มในส่วนนี้ต่างหาก ที่ทำให้เราเลือกจะแบกของกันไปเอง
แต่ข้อดีของการเดินแค่ 2 คนคือ ทำให้เรามีเวลาเหลือเฟือที่จะทำตามใจ อยากหยุดตรงไหนก็หยุด อยากนั่งมองวิวข้างหน้านานๆ ก็ทำได้ รวมทั้งนั่งมองดอกซากุระสีชมพูอ่อนค่อยๆ ล่วงตามแรงลมแบบไม่รู้จักหมดตั้งนานสองนาน
เราเดินผ่านหมู่บ้านหลายสิบหลังคาเรือน ที่แต่ล่ะหลังล้วนมาจากการสร้างด้วยมือตัวเองจากการยกหินมานั่งสกัดทีล่ะก้อนจนได้หินทรงสี่เหลี่ยมเพียงพอจะเรียงได้เป็นบ้านหนึ่งหลัง ความพยายามและความมานะของคนที่นี่ รับรองว่าไม่เป็นสองรองใคร
จากบ้านเรือนมากมาย เราต้องเดินผ่านสะพานแขวนที่ทอดยาวจากภูเขาหนึ่งลูกข้ามเหวไปสู่ภูเขาอีกหนึ่งลูก บอกได้เลยว่าครั้งแรกมักยากเสมอและครั้งแรกครั้งนี้ก็ยากจะให้ใจเราไม่สั่นไปตามแรงเหวี่ยงของสะพานเหล็กยาวเหยียดสะพานนี้ได้เลย
ตอนที่ 4 :” คืนแรก ที่ PHAKDING ”
หลังจากเดินอย่างสบายอกสบายใจมา 5 ช.ม เราก็ถึงจุดหมายแรกที่เราเลือกไว้ ” Phakding” รวมระยะทางที่เราเดินมาจากลุกลาก็ไม่ไกลมากคือประมาณ 8กิโลกว่าๆ
เราพักที่โรงแรมเล็กๆที่หนึ่งที่ทำให้เราตกใจตอนถามราคาห้อง ห้องพักที่นี่ราคา 100 รูปี หรือคิดเป็นเงินไทยคือประมาณ 34 บาท ใช่! คุณอ่านไม่ผิด 34 บาท เจ้าของหน้าตาใจดีพาเราวิ่งปรู๊ดขึ้นชั้น 2 พร้อมยื่นกุญแจห้องเย็นเจี๊ยบให้เราเป็นเจ้าของในคืนนี้ ในห้องราคา 100 รูปี มีเตียงให้ 2 เตียงชิดฝั่งซ้ายและขวาของห้องบวกทางเดินตรงกลางแบบพอดีตัว บนเตียงมีผ้าที่เคยเป็นสีขาวมาก่อนผืนบางๆคลุมไว้พร้อมหมอนสีเดียวกับผ้าคลุมเตียงอีก 1 ใบ. หัวเตียงเป็นกระจกแนวตรงสามบานที่เราไม่จำเป็นต้องเปิดถูกคลุมไว้ด้วยผ้าม่านบางๆ 2 ฝั่ง และนั่นคือทั้งหมดที่มีในห้องนี้
เราหัวเราะกับสิ่งที่เห็นพร้อมปลดเป้ที่หนักอึ้งบนไหล่เราวางปลายเตียง สิ่งแรกที่เราหยิบออกมาคือถุงนอนและของใช้จำเป็น นั่นไม่ได้รวมถึงอุปกรณ์อาบน้ำเพราะที่นี่ไม่มีให้อาบ
เราลงมานั่งสูดอากาศ13องศาตอนบ่าย2 จากที่กำลังเย็นสบาย ลมก็เริ่มแรงและพระอาทิตย์ก็หนีงานตั้งแต่บ่าย3โมงกว่า นั่นจึงทำให้เรารู้สึกแล้วว่าคืนนี้เราต้องเจอกับอะไร
เราเตรียมอาหารมาแต่เราก็ตัดสินใจกันแล้วว่าเราจะสั่งทางโรงแรมมาทานเพราะละอายใจกับราคาที่พักซ่ะเหลือเกิน ระหว่างที่รออาหาร. ป้าเจ้าของใจดีก็จุดเตาเหล็กทรงโบราณกลางห้องให้เราได้อุ่นสบาย
เราทานอาหารและขึ้นนอนตอนหนึ่งทุ่ม อากาศหลังไร้แสงอาทิตย์หนาวกว่าที่เราคิดมากนัก และห้องที่เราอยู่ก็ไม่ได้ทำให้เรารอดพ้นจากอากาศภายนอกได้เลย สิ่งเดียวที่เราพึ่งได้ตอนนี้คือถุงนอน ที่ทำให้เราผ่านคืนนี้ไปได้อย่างอุ่นสบาย
เราหลับสนิทในคืนแรกพร้อมตื่นมาด้วยความสดใส โดยไม่ได้สังหรณ์ใจเลยว่า พรุ่งนี้ เราต้องเจอกับอะไรบ้าง….
Rabbit
**ตอนที่ 5 รอแป๊บน่ะค่ะ**