เมืองปากลาย 7 วันหลังจากหลวงพระบางถูกเผา
“โอ้ว….วันนี้ทรงมีพระพักตร์สดใสเหลือเกิน” นายปาวีมาเฝ้าเจ้าหลวงอุ่นคำแต่เช้า เขามาคอยตีสนิทไต่ถามทุกข์สุขวันละหลายเวลา
“ฉันสบายใจขึ้นเพราะสมภารวัดใหม่มาแจ้งว่า พวกฮ่อคงไม่ตามเรามาถึงปากลาย ส่วนพระบาง ก็ถูกนำไปซ่อนในถ้ำเรียบร้อยแล้ว”
“กระหม่อมยังไม่วางใจนัก อยากทูลเชิญเสด็จไปเมืองน่าน”
หลวงพิศณุเทพข้าหลวงไทยทูลแนะนำ เพราะเห็นว่าเมืองน่านมีกองทหารคอยคุ้มกัน ดีกว่าปล่อยให้เจ้าหลวงมาพักริมแม่น้ำโขงกลางป่าดงเช่นนี้ แต่เจ้าหลวงมีพระพักตร์ตึงขึ้นทันที
“ถ้าอยากจะหลบให้ไกลกว่านี้ ก็เชิญคุณหลวงไปก่อนนะ ฉันอยู่ทางนี้ยังอาจช่วยชีวิตชาวลาว ที่หนีมาได้อีก”
ท่านข้าหลวงโดนเหน็บเข้าอย่างจังก็อาย นายปาวี ขอตัวออกมาข้างนอก ปาวีเองแอบลอบถอนหายใจโล่งอก เมืองน่านนั้นเขารู้ว่าเจ้านายเข้มแข็ง มีใจรักใคร่กับทางพระนายไวย ยากยิ่งนักที่จะเข้าหาใกล้ชิดได้อย่างนี้ เจ้าหลวงเห็นปลอดคนจึงตรัสกับนายปาวีสองต่อสองว่า
“ฉันเสียใจเหลือเกินที่เชื่อใจข้าหลวงไทย พอฮ่อมาถึงก็หนีเอาตัวรอดไปก่อน ทหารไทยก็ไม่อยู่ มีแต่ท่านกงสุลคอยช่วยจึงไม่ตาย”
“กระหม่อมเพียงแต่ทำตามที่พอทำได้” ปาวีทำเป็นถ่อมตัว
“ฉันสงสารพลเมืองที่เรือแตกจมน้ำตายนับร้อย ฉันเห็นพ่อแม่บางคนไปติดบนก้อนหินกลางแก่ง ร้องหาลูกเสียงยังก้องอยู่ทุกคืน”
“กระหม่อมฉันกลับเป็นห่วงเรื่องทางกรุงเทพจะโกรธ ที่ทรงรักษาหลวงพระบางไม่ได้กระหม่อม เคยเห็นมาแล้วครั้งที่วางสายโทรเลขในเขมร” แล้วนายปาวีก็แกล้งหยุดเสียเฉยๆ
“ทำไมหรือท่านกงสุล”
นายปาวีได้ทีจึงว่า “เจ้าเมืองศรีโสภณทำไม่ถูกใจบางกอก จึงถูกเรียกแล้วก็หายตัวไปเลยที่แท้ไป นอนอยู่ในคุก กระหม่อมไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดกับเจ้าประเทศราชเช่นพระองค์”
“โธ่แล้วฉันจะเป็นอย่างไรกันนี่” เจ้าหลวงพระหัตถ์เริ่มสั่น
“ข้าหลวงไทยจะว่าราชการแทนพระองค์ เมืองลาวจะเป็นเพียงจังหวัดหนึ่งของสยาม ส่วนเจ้าหลวง คงเป็นได้แค่เจว็ตในศาลพระภูมิคอยให้คนกราบไหว้”
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือ”
“ถ้าเกิดอะไรกับพระองค์ กระหม่อมจะขอให้ทางฮานอยช่วยทันทีขอสัญญา”
ปาวีก้มลงกราบแล้วเห็นพระหัตถ์เจ้าหลวงสั่นยิ่งกว่าเดิม
“กระหม่อมขออนุญาตอีกสักเรื่องหนึ่งคือ สมภารวัดใหม่ได้ขนคัมภีร์ใบลานเป็นเรื่องตำนาน ของอาณาจักรลาวมาด้วยกระหม่อมอยากลองแปลดูให้รู้สักทีว่าสยามมาเกี่ยวกับ ลาวตั้งแต่ครั้ง ไหน”
“เอาเถิด” เจ้าหลวงอุ่นคำดูมีพระพักตร์แจ่มใสขึ้น ปาวีกราบอีกครั้งในใจนึกถึงคำพูดของสมภาร ที่กล่าวกับเขาด้วยความแค้นใจว่า “ไอ้คำฮุมกับน้องๆของมันเคยมาบวชเณรอยู่ที่วัดตั้งแต่ยังเด็กจะไม่ ให้อาตมาเคืองทหารไทยอย่างไรได้ แล้วท่านกงสุลจะได้รู้ว่าเราเป็นชาติที่เก่าแก่มาก่อนสยาม”
ฟ้าคำรามแข่งกับเสียงสายน้ำที่สบนัวอันเชี่ยวกรากจนมีคำโบราณกล่าวว่า “ถ้ามีลูกชายคนเดียวอย่าให้มาเที่ยวน้ำนัว” แต่ที่หล่อนลุกขึ้นเงี่ยหูฟังกลับเป็นเสียงร้องไกลๆแทรกมากับ เสียงฟ้า
“เหมือนเสียงช้าง เป็นไปไม่ได้เราได้ยินอย่างนี้ทุกคืน” แม่หญิงหมายถึง อีเอื้องช้างตัวโปรดนี่เข้า วันที่ 7 แล้ว ที่พวกโจรถ่อยออกจากหลวงพระบาง
“ฉันดีใจที่เช้านี้ตื่นขึ้นมาได้เห็นหน้าแม่แทนที่จะเป็นหน้าของไอ้โจร…….” พูดแล้วก็อดน้ำตาไหล ไม่ได้ เพราะบางคืนต้องตื่นขึ้นตามลำพังกลางดึก เห็นแต่หน้าของไอ้โจรฝรั่งเศสที่จับหล่อนมาพร้อมกับตัว ประกันหญิงชาวลาวอีกกว่า 80 ชีวิต
“อย่าคิดมากไปเลยลูก” แม่ปลอบเมื่อรู้สึกว่ามือไปถูกน้ำตาอุ่นๆที่ไหลอาบแก้ม
“ฉันพยายามจะคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เรือนหอริมฝั่งโขง” พูดแล้วอดสะอื้นไม่ได้เพราะเรือนหลังนั้น ถูกโจรเผาทิ้งหมดเสียแล้ว
“มันจะเอาเราไปขายถึงเมืองไลเจา คนแก่อย่างป้าคงตายกลางทาง” เสียงป้าน้อยแทรกมา เปลี่ยนเรื่องพูด
“ฉันได้ยินว่าไอ้เล่าเต็กเช็งมันหัวเสียที่ลงทุนจ้างฮ่อธงแดงคนละ 30 รูปี เพื่อปล้นเมืองเรา แต่ได้ไม่คุ้มเสีย” คำแก้วนึกขึ้นมาได้
“สมน้ำหน้ามัน แถมตลอดทางที่มันถอยกลับ ยังถูกพวกข่าพวกแม้วดักปล้นข้าวของเสียหายตกน้ำ เกือบหมดโจรปล้นโจรสาแก่ใจนัก” แม่หัวเราะเบาๆอยู่ในความมืด
“ไอ้ขุนโจรมันแยกกับไอ้คำฮุมกับไอ้หนวดเหลืองเมื่อวานนี้ ฉันว่ามันกลัวพระนายไวยตามมา แก้แค้น เลยหนีขึ้นไปจีนยูนาน ทิ้งไว้แต่ทหารชาวไลของคำฮุมไม่ถึง 20”
แม่คนงามหยุดพูดอึดใจใหญ่เพราะคิดว่าหูได้ยินเหมือนเสียงช้างใกล้เข้ามากว่าเดิม
“อ้อ ป้าน้อยจ้ะ ฉันเห็นไอ้คำฮุมมันชอบหยิบตุ๊กตาสิงโตจีน แกะด้วยงาช้างมาถือเล่น มันว่าอันนี้ ต่างหากของล้ำค่าของเจ้าหลวง”
“ อีวอกเอ้ย…นั่นมันตราแผ่นดิน ข้างล่างแกะลายอักษรจีนที่เจ้ากรุงปักกิ่งมอบไว้กับเจ้าหลวงหลาย สิบปีแล้ว… อ้าว อ้าว นี่เอ็งจะลุกขึ้นออกไปทำไม”
ฟ้ายังขมุกขมัว คำแก้วกวาดสายตามองเห็นเงาของหญิงสาวลาวออกมาล้างหน้าล้างตา เป็นกลุ่มๆริม น้ำ “เอ๊ะ ชายสองคนที่เดินข้ามน้ำมาดูไม่เหมือนพวกโจรนี่”
หล่อนสังเกตจากเสื้อผ้าและทรงผม พวกยามชาวไลตะโกนทักเป็นภาษาไทยขาว แต่เจ้าสองคนนั้นก็ยังเดินข้ามมา พอได้ระยะเริ่มเห็นหน้ากันชัด ทั้งสองคนก็ตวัดดาบที่ซ่อนไว้ ฟันใส่เจ้ายามชะตาขาดทันที
“พวกเราลงมือได้” ภาษาไทยชัดเจนแล้วก็ตามด้วยเสียงปืนสลับกับเสียงช้างจากราวป่าฝั่งตรงข้าม
ทันใดนั้นก็มีเงาดำทะมึนของช้างและควาญไม่ต่ำกว่า 6 เชือก พุ่งข้ามน้ำตรงเข้ามายังค่ายพัก แต่ที่ทำ ให้หัวใจของหล่อนพองโตขึ้นมา คือเงาของช้างขนาดย่อมเชือกหนึ่งที่ปราศจากควาญและวิ่งตรงมายังหล่อน
“อีเอื้อง แม่จิ่มอยู่นี่เจ้า” แล้วหันไปตะโกนบอกพวกที่อยู่ริมน้ำ
“พวกเราหนีเร็วมีคนมาช่วยแล้ว” พูดได้แค่นั้นก็เห็นอีเอื้องคว้ายามชาวไลที่ขวางหน้า เหวี่ยงหายไปกลางน้ำ สาวงามคว้าปืนที่ตกอยู่จูงแม่กับป้า และหญิงลาวกลุ่มที่อยู่ใกล้ๆต้อนหนีข้ามน้ำไป
แต่อนิจจา…..หญิงลาวกลุ่มใหญ่กลับกลัวช้างหนีกระจัดกระจายไปทางเต้นท์ของไอ้คำฮุม ไม่ยอม ฟังเสียงของชาวไทยที่มาช่วยเหลือ
“พวกเรากลับไปฝั่งโน้นได้แล้ว”
หนึ่งในควาญช้างสั่ง หลังจากให้ทำลายข้าวของในแพไปเสียราบคาบแล้วชายคนนั้นก็หันมา ตะโกนบอกคำแก้ว ราวกับรู้จักกันมานานว่า “รีบขึ้นเขาไปก่อนขอรับพวกฉันจะคอยกันไม่ให้มันไล่ตาม”
“จะไปไหนคำแก้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงตะโกนก้องที่คุ้นหูทำให้แม่หญิงหันขวับไปยังต้นเสียงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
“ตูม” ปืนคานเหวี่ยงในมือหล่อนซัดออกไปทันที แต่ไอ้โจรนิโคลองหนวดเหลืองยืนเปลือยเปล่าท้าทายอยู่ริมน้ำอย่างไม่หวั่นเพราะฤทธิ์ฝิ่น
“เดี๋ยวข้าก็ตามเจ้ากลับมาได้”
ทั้งหมดฉุดกระชากลากถูขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง แสงอาทิตย์พอที่จะมองเห็นหน้าได้แล้ว พวกควาญ ลงจากคอช้างลงมานั่งยกมือไหว้
“พี่ พี่ ควาญช้างจากเมืองพิชัย” คำแก้วร้องด้วยความดีใจ
“พอจำได้อยู่นะขอรับ พวกเราที่แม่หญิงเคยช่วยชีวิตไว้”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ พวกมันขึ้นเรือหนีไปแล้ว เสียดายแต่ว่ามันยังจับชาวลาวส่วนใหญ่ไว้” คนที่ตามมาสุดท้ายรีบรายงาน
คำแก้วพอได้สติมองไปรอบๆก็พบว่าพาหญิงลาวมาได้อย่างน้อย 20 คนรวมทั้งแม่และป้าน้อย “ข้าว่ามันเข็ดจนตาย ถูกช้างกระทืบแบนเป็นกล้วยปิ้งไปร่วมห้าคน”
ชาวพิชัยอีกคนส่งสายสะพายกระสุนขนาด .44-40 มาให้พร้อมแจกปืนวินเชสเตอร์คานเหวี่ยง
สิบสองลิ้นทองอีกสามกระบอกที่ยึดจากศพองครักษ์ของคำฮุม
“แม่หญิงต้องขอบใจอีเอื้องมันขอรับ พวกเรากลับจากส่งของที่เมืองซ่อนจวนจะถึงเมืองงอย
อยู่แล้ว ได้ข่าวฮ่อมันเผาหลวงพระบาง เราก็หลบอยู่ในป่าเพราะน้อยคนนัก ครั้นเรื่องสงบลงแล้ว พวกกระผมจะหนีต่อก็มาเจออีเอื้องมันมายืนขวางช้างของพวกเรา”
คำแก้วนึกอะไรขึ้นได้เดินเข้าไปดูขาหลังของช้างคู่ใจ พวกชาวเมืองพิชัยจึงรีบบอกว่า
“มันโดนยิงมา แม่หญิง เราก็ใส่ยาให้จนอาการดีขึ้นมากแล้ว”
อีเอื้องราวกับฟังเข้าใจภาษาคน ยกงวงขึ้นแกว่งไปทางพวกควาญ ส่งเสียงร้องอ้อแอ้เบาๆเป็นเชิงขอบใจ แล้วเอางวงมาโอบกอดคำแก้วอย่างแสนรัก
“ขอบใจพวกพี่มาก มันโดนยิงเพราะพยายามมาช่วยฉันไม่ให้ถูกจับ นี่ฉันนึกว่าพวกเรากลับไป เมืองพิชัยกันหมดแล้ว คงไม่กล้ากลับมาอีก”
“ขืนอยู่บ้านก็คงอดตายจ้ะ” พวกควาญแทบจะพูดขึ้นพร้อมๆกัน
“อีเอื้องตัวเก่ง ฉันไล่มันกลับไปมันก็ไม่ไปมันวนเวียนตอแยทุกวันจนพวกเรารู้จากพวกที่เมืองงอย
ว่าแม่หญิงถูกจับ เลยเดาว่ามันชวนไปแกะรอยตามไอ้คำฮุมจนทัน” หัวหน้าควาญอธิบาย
“พวกนี้หรือที่พ่อของเจ้าคอยช่วยเหลือจนรอดตายจากไข้ป่า” ป้าน้อยถาม เมื่อคำแก้วพยักหน้า พวกผู้หญิงก็เข้ามาขอบอกขอบใจ ปากพร่ำขอให้พากลับบ้าน
“แต่ยังมีพวกเราอีกตั้งหลายสิบยังอยู่ในมือโจร” คำแก้วบ่นพึมพำแล้วก้มลงมองปืนคานเหวี่ยง ในมือ หล่อนมีแผนในใจเป็นอย่างอื่น
เช้ามืดของวันรุ่งขึ้น คำแก้วกับขบวนช้างอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่งสูงขึ้นไปจากเนินที่พวกผู้หญิง ยังคงนอนหลับอยู่
“อีกสักพักก็คงร้องหาแม่หญิงกันยกใหญ่ละขอรับ” หัวหน้าควาญมองหน้าคำแก้วอย่างเห็นใจ เขาทิ้งควาญแก่ไว้สองคนให้คอยดูแล
“อีกไม่กี่วันแม่กับป้าก็ถึงบ้านแล้ว ฉันขอบใจที่พวกเราจะยอมเสี่ยงตายกันอีกสักครั้ง ฉันตัดสินใจแล้ว ถ้าไม่ได้เชลยกลับมาฉันจะไม่ยอมกลับบ้าน”
ใจหวลนึกถึงภาพเขียนในวัด ต่อแต่นี้นางจะเป็นมโนราห์ข้ามเขาไปไกลแสนไกล หวังว่าพระสุธนของคำแก้วจะมาตามจนพบในชาตินี้
นังพริตตี้
ดังที่นายปาวีว่าไว้ เจ้าหมื่นไวยวรนารถและกองทหารอาสากลับถึงกรุงเทพฯอย่างเงียบเชียบ ไม่มีซุ้มประตูชัยให้พาเหรด ไม่มีแม้แต่พระสงฆ์มาพรมน้ำพระพุทธมนต์หรือเสียงโห่ร้องต้อนรับ สงครามในลาว เป็นเรื่องไกลปืนเที่ยง ไกลเสียยิ่งกว่ายุโรปและอเมริกาในสายตาของขุนนางสยาม ผู้ยังสุขสำราญในลาภยศ ทำไมจะต้องไปเดือดเนี้อร้อนใจแทนในหลวงท่าน ถ้าฝรั่งมันอยากได้ก็เรื่องของมัน
ท่านแม่ทัพเข้าถวายรายงาน พร้อมนำเจ้านายลาวและดอกไม้เงินทองเข้าเฝ้า ตัวไอ้พระไชยชุมพลถูกส่งขังคุกของกรมยุทธนาธิการ เพื่อให้ฝ่ายมหาดไทยต้นสังกัดรับไปสอบสวน ทหารทุกคนหวังในศาลยุติธรรม เพื่อเซ่นดวงวิญญาณแก่เพื่อนที่จากไป แต่แล้วทุกอย่างกลับเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
“เงียบไปเลย ลูกท้าวไลทั้งสาม ก็ไม่มีใครเอาธุระ นี่ฉันปล่อยตัวมาเกลี้ยกล่อมดีแล้ว ทางกรมดันโยนว่า ท่านแม่ทัพไปชวนเขามา ก็ฝากไว้ที่บ้านท่านก่อนแล้วกัน”
“เห็นท่านตั้งเบิกเงินมารับรอง ก็เกี่ยงกันไปมาว่าไม่มีอำนาจทั้งที่ในหลวงทรงอนุญาตแล้ว”
“ตกลงเพี้ยพระยาลาว และกายตงที่ชวนมาเฝ้า หวังให้เขาประทับใจว่าเราร่วมแผ่นดินเดียวกันเลยเป็นภาระ ท่านควักเงินอยู่คนเดียว หลวงจะคืนให้เมื่อไหร่ยังไม่รู้” นายจ่ายวดเห็นใจว่าท่านแม่ทัพมิใช่คนร่ำรวยด้วยสุจริตในราชการ ยอดไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะปลัดทัพคนเก่งเพิ่งแอบบอกเขาเป็นคนแรกว่าหมดศรัทธากับกองทัพและจะย้ายไปอยู่กรมศุลกากรแทนในไม่ช้า
“ท่านแบ่งคนมาที่บ้านสวนกับบ้านสาธรของกระผมบ้างซิขอรับ”
เจ้าราชภาคิไนยโปรดความร่มรื่นของบ้านคลองบางกอกน้อยมาก และยอดได้ข้ออ้างกับแม่วันมาค้างบ่อยๆเพื่อเตรียมบ้านให้แก่คำแก้ว
ตกดึกสงัดยอดอ้างว้างนอนก่ายหน้าผาก ในภวังค์มีแต่ภาพความสุขร่วมกับแม่หญิงที่ริมน้ำโขง และความน่าอยู่ของหลวงพระบาง พอเสียงขลุ่ยลอยมาตามสายลม ทำนองเพลงเศร้าโอดครวญถึงคนรัก จึงสิ้นอดทนค่อยๆย่องเลาะร่องสวนมาดูว่าใคร
“ไอ้น้อม เลิกเป่าเสียที มันวังเวง”
“แฮะๆ ไม่เพราะหรือขอรับ หมามันยังหอนเลย” มันเห็นนายถอนใจ “คิดถึงคุณคำแก้วไหมขอรับ”
“ใช่ ฉันไม่กล้าบอกแม่วัน ไม่รู้จะระบายกับใคร”
“กระผมมันแค่บ่าว คุณยอดมีเพื่อนอีกมากไม่ลองปรึกษาดู แม่คำแก้วน่าสงสารนะขอรับ สู้อดทนรอคุณยอดแล้วก็ต้องมารออีก”
“ควรเป็นผู้หญิงจึงจะช่วยคิดได้” ยอดนึกออก “งั้นเอ็งไปบอกแม่ผึ้งว่าเที่ยงๆจะแวะไปกินข้าว”
“โธ่คุณยอด แค่นี้ยังปวดกะบาลไม่พอนะขอรับ”
เสียงใสของแม่ผึ้งเปี่ยมไปด้วยความยินดีที่เห็นคนรักเก่า หล่อนรีบดักคอ
“ดีใจจัง พี่ยอดอย่าต่อว่านะเจ้าคะ ผึ้งเพิ่งรู้ความชั่วของไอ้พระไชยชุมพลน้องเขยเอาเมื่อมันถูกจับมานี่เอง มันมากรุงเทพฯทีไรฉันฝากของกระป๋องไปให้ มันก็ว่ากองทัพพี่ยอดมีชัยสบายกันดีทุกครั้ง”
“มันเก็บไว้กินคนเดียวละซิ พี่ไม่เคยได้”
ยอดเล่าให้ฟังถึงกรรมที่มันก่อไว้ แม่ผึ้งซักไซ้อย่างละเอียดด้วยความสนใจ หล่อนเป็นคนฉลาด ยิ่งรู้มาก ยิ่งชอบซักถามรวมไปถึงการรบในลาวโดยละเอียด
‘อย่างน้อยก็มีสักคนในกรุงเทพฯที่สนใจว่าเราทำอะไรมาบ้าง’ ยอดเริ่มอารมณ์ดี เผลอชมชาวเมืองและความงามของหลวงพระบางให้ฟังบ่อยๆ จนผึ้งผิดสังเกต
“ของฝรั่งแพงๆเต็มบ้านไปหมดนะคุณหญิง” เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“อุ๊ย พี่ยอดเจ้าขา…..” หล่อนหลบตา “บางอย่างผึ้งไม่ต้องซื้อหรอกเจ้าค่ะ นายเรือฝรั่งมันชอบแบกมาฝาก เดี๋ยวก็พวกอังกฤษ บ้างก็พวกสถานฑูตฝรั่งเศส เดี๋ยวนี้ฉันพูดภาษาเขาได้พอตัวนะ”
พอเห็นยอดขมวดคิ้ว เลยลอยหน้าล้อ “คุณพี่…..ผึ้งเลิกฝักใฝ่ฝรั่งชักศึกเข้าบ้านแล้วนะเจ้าคะ”
หล่อนเผยเรื่องวงในของนายปาวีและพวกฑูตให้ฟังโดยยอดไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ย้อนหลัง
“พื้นเพเขาเป็นคนมีปมด้อย อยากให้คนยอมรับนับถือ ชิงลาวให้ได้นั่นละ จึงจะลุความทะเยอทะยาน อย่างนี้ผึ้งว่าน่ากลัวกว่าอยากรวยนะเจ้าคะ”
“ส่วนตัวคุณพี่น่ะอย่าห่วงเลย ไม่ต้องคิดออก คิดย้ายไปไหน เมื่อมีผลงาน ฉันช่วยเป่าหูหน่อย เดี๋ยว จะเอายศพระยาพิชิตชาญณรงค์มาให้”
ผึ้งยิ้มหวานตาเป็นประกาย กลับมาคราวนี้คงไม่พ้นมือแม่ตัวร้ายไปได้ง่ายๆหรอก “หรือพี่ยอดเบื่อราชการจริงๆ ฉันเองก็มีเรื่องอยากกราบขอพึ่งคุณพี่ช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง”
เมื่อยอดตั้งใจฟังจึงอ่อยเหยื่อล่อ “ฉันเองเชื้อสายสมัยพระเจ้าตากมาจากสนมชาวลาว พี่น้องทางเมืองแถบนั้นจนถึงแพร่ ถึงอุตรดิษถ์ก็พอมีอยู่ ตอนนี้ฝรั่งอยากได้ไม้สักของเราว่าดีที่สุดในโลก มันมาชักชวนผึ้งลงขันตัดไม้ส่งอังกฤษแข่งกับห้างบอร์เนียวเจ้าค่ะ ฉันก็ตกลงร่วมกับลุงกับป้าทั้งที่ไม่เคยไปดูด้วยซ้ำ อาศัยเส้นสายเจ้านายที่ชอบพอกัน จึงได้สัมปทาน”
ยอดทำตาปริบๆ จู่ๆแม่ชาววังมากลายเป็นเจ้าสัว “แหม กลุ้มใจ๊กลุ้มใจ นึกว่าจะจบ ฝรั่งมันไปพบแร่เข้าอีก เห็นว่าสายแร่มาแต่ทางฝั่งลาวมีผงทองคำปนมาด้วย ก็ถิ่นญาติผึ้งทั้งนั้น ฉันเลยได้สัมปทานจากหลวงมาเพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ตกลงกันว่า แร่ก็แบ่งกับฝรั่ง ส่วนทองต้องเป็นของผึ้งเพราะออกแรงวิ่งเต้นมาได้”
“แม่ผึ้งน่ะไปไกลเกินไอ้พระไชยชุมพล อื่อ ไกลกว่าหญิงทั้งสยามแล้ว”
“ไม่อยากมาช่วยผึ้งหรือเจ้าคะ โธ่ ฉันตัวคนเดียวนะ” หล่อนลูบแขนเขาเล่น “ที่ผึ้งจำใจทำเพราะฝรั่งมาขอร้อง เราก็พอให้ความสะดวกทางราชการสยาม เอาไม้ออกไปเรือเขาก็ขนสินค้ากลับมาให้ด้วย ผึ้งอยากมีห้างของตัวเองบ้าง แหม ชนะได้ทั้งเขา ทั้งเรา win and win เลยเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ….ที่กรุงเทพเดี๋ยวนี้มีแต่คนอยากเป็นเจ้าสัว แม้แต่หลุยส์ก็มาลาออกจากกรมทหารหน้าไปแล้ว”
ยอดหมายถึง นายหลุยส์ เลียวโนแวน ลูกชายแหม่มแอนนาที่พาทหารไปคุ้มครองพระวิภาคภูวดล
“เจ้าค่ะ เค้าพาน้องสาวพี่แฟนนี่มาลาผึ้ง เห็นว่าไปทำห้างที่เชียงใหม่ตัดไม้สักให้บอร์เนียว”
“ของผึ้งทำสัมปทานแถวแพร่ใกล้กว่า ส่วนไม้สักแถวเมืองน่านไม้ไม่ใหญ่พอ มีแต่กะพี้ไม่คุ้มลงทุนเจ้าค่ะ” แม่ตัวร้ายทำการบ้านมาดี
ยอดอึกอักจะมาคุยเรื่องคำแก้วก็ไม่มีโอกาส เลยพลั้งว่า “เอ้อ พี่ยังห่วงราชการที่ลาวอยู่”
พูดเท่านี้แม่ตัวร้ายทำตาโต “เอ๊ะ คุณพี่ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่ หายหัวไปปีกว่ามีผู้หญิงอื่นละมั้ง”
แม่ตัวร้ายตลบหน้าตลบหลัง เค้นจะเอาความให้ได้ “Who is she?”
“A local girl in Luang Prabang…..” ยอดหลบตา
“Is she prettier than me?” เฮ้อ ผู้หญิงนี่เหมือนกันหมด คิดแต่ว่าใครสวยกว่าใครเป็นสำคัญ
“She is not….” ขืนบอกว่าสวยกว่าแม่คงดิ้นอยู่กับพื้น
“งั้นไปหลงรักมันทำไม มันเป็นเพื่อนพี่ยอดได้อย่างผึ้งหรือเปล่า”
ชักหอบแรงๆอีกแล้ว ยอดจ้องอกที่กระเพื่อม “ก็ไม่ได้เท่าผึ้งหรอกจ่ะ”
“มันรู้ใจ เอาอกเอาใจ สารพัดเหมือนผึ้งไหมเจ้าคะ”
“No….no one likes you my dear.”
“แล้วยังไปหลงมันอีก เอ๊….มันมีอะไรที่ผึ้งทำให้คุณพี่ไม่ได้” หล่อนนิ่งคิด แล้วก็แหวออกมาลั่นบ้าน “อ๋อ !หรือมันทำอะไรให้พี่ยอดที่ผึ้งยังไม่ได้ทำอีกอย่าง นี่ไปถึงไหนๆกันแล้วรึ ฮื่อๆๆๆๆ”
“เสียทีบวชเรียนมาแล้วนะเจ้าคะ” ยอดฟังแล้วรู้สึกหน้าชาอายมากกว่าโกรธ เลยตัดสินใจลุกเดินลงบันไดไปขึ้นม้า
“พลั่ก” ส้มเขียวหวานลูกหนึ่งถูกขว้างลงจากเรือนมาที่กลางหลัง
“พี่ยอดจะไปไหน เลี้ยวม้ากลับมาเดี๋ยวนี้”
“ก็ผึ้งเอ่ะอะเหลือเกินนี่จ๊ะ”
“จะรีบไปหาอีๆๆ ฮึ อีแม่หญิงคนงาม ชื่ออะไรก็ไม่บอก เรียกมันว่า อีPretty ก็แล้วกัน”
ยอดถอนใจลงม้ากลับมานั่งบนเรือนอีกครั้งโล่งอกว่าอย่างไรหล่อนก็รู้แล้ว ยังไม่เวายโดนอีกเป็นชุด นั่งปลอบแม่ตัวร้ายอยู่นาน พร่ำขอให้หล่อนเห็นใจ ที่มาบอกเพราะถือเป็นเพื่อนสนิท อยากระบายความทุกข์ แต่ผึ้งยังไม่หยุดอาละวาด
“ฉันสู้กลับตัวเป็นคนดี เจ้านายไหนมาตอแยก็หนีหน้า คอยให้คุณพี่กลับมาทุกวัน นังผึ้งไม่มีบุญเป็นเมียพี่ยอด เพราะอี Pretty มาตัดหน้าไปแล้ว ฮึ ไปเมืองเขาทีเดียวก็สลัดไม่หลุด ถ้าเป็นผึ้งละมีรึจะมานั่งหน้าคล้ำอย่างนี้ ฉันไม่ได้กินหญ้าเหมือนคนบางคนดอก ทีตอนสร้างปัญหาละก็ไม่รู้จักคิด พอมาแล้วแก้กันไม่เป็นผู้ชายนี่มันเก่งแต่ผูกปม”
หลังจากปลุกปลอบอีกนาน หล่อนก็ใจนักเลงพอที่จะยอมรับ บางทียอดจะไม่ลืมน้ำใจของคนรักเก่าเป็นแน่ อย่างน้อยเขายังเป็นหูเป็นตาให้กับกิจการที่คิดจะทำได้ในอนาคต คนอย่างผึ้งไม่มีวันยอมแพ้ผู้หญิงคนไหนง่ายๆหรอก ผึ้งมองดูยอดขี่ม้าจากไปแล้วบ่นเบาๆว่า
“เฮ้อ เมื่อไหร่ใครจะมาเจาะฉันให้มันป่องๆไปเสียที เสียแรงรัก เสียแรงรอตั้งนาน” แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า “พี่ยอดไม่ช่วยฉันก็ไม่เป็นไร ฉันเห็นจะต้องใช้พระไชยชุมพลคนเก่าเสียแล้วอย่ามาโกรธกันทีหลังล่ะ”
26 มิถุนายน พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887)
“เจ้าต้องเป็นแม่ทัพขึ้นไปปราบฮ่ออีกครั้งหนึ่ง ส่วนการเสบียงอาหารนั้น ข้าจะให้กรมหมื่นสรรพประสิทธิประสงค์ยกขึ้นไปเป็นกองเสบียงจัดการกำลังพาหนะ อยู่ ณ เมืองพิชัย เตรียมไว้ส่งกองทัพเจ้า ส่วนตัวเจ้าต้องเตรียมตัวจัดกองทัพบกไปโดยเร็ว”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบัญชาแก่ทหารเอกคู่พระทัย ต่อหน้าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ฝ่ายกิจการทหาร และ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ ฝ่ายการต่างประเทศ
บ่าวของพระนายไวยมาตามยอดไปบ้านศาลาแดงแต่เช้ามืด เขาพบราชฑูตฝรั่งเศสประจำบางกอก วิ่งลงบันไดมาด้วยหน้าตายู่ยี่และมีอาการตกใจมาก
‘ไอ้ฝรั่งบ้า คงมีเหตุร้ายถึงรีบมายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ลืมติดกระดุมเป้ากางเกงด้วย’
“หลวงพระบางแตกแล้วพี่ยอด ฉันเพิ่งกลับจากเข้าเฝ้า” ท่านแม่ทัพแจ้ง
“เป็นความจริงหรือขอรับ” ยอดตกตะลึงในใจนึกถึงคำแก้ว รอบๆตัวมีเพื่อนทหารทะยอยกันเข้ามา
“ปาวีแจ้งมาว่าเป็นฝีมือของพวกไทยไลและฮ่อ” พระนายไวยเล่าว่าฑูตมาขอพบลูกๆของท้าวไลสอบถามเรื่องความเป็นมาของเมืองไลเจา และดูในแผนที่ฝ่ายไทยที่พระนายไวยทำขึ้นจากหนังสือกงดินที่เมืองแถง
“ท่าทางยังข้องใจ อยากจะเหมาเมืองไลเมืองแถงเป็นของญวน จะได้ตะครุบไว้” ยอดเดาใจฑูตได้
“ฉันต้องการทัพหน้าเร่งไปหลวงพระบางพร้อมกับเจ้าราชวงศ์และเจ้าราชภาคิไนย เรามีทหารอาสาเหลือประจำกรมอยู่มากน้อยเท่าไหร่พี่ยอด” แผนการทัพถูกจัดร่างขึ้นทันที
“กระผมเรียกทหารได้ 250 คนขอรับ ที่เหลือเราให้กลับบ้านหมดแล้ว”
“หลวงดัษกรฯ นำทัพไปได้ไหม”
บุรุษเหล็กผู้นี้ไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว “กระผมจะเร่งรุกไปให้ถึงค่ายเมืองงอยนะขอรับ”
“ท่านขอรับ กระผมขออาสาไปกับหลวงดัษกรฯ” ยอดขอร้อง ใจแล่นถึงริมฝั่งโขงแล้ว
“ไปแค่หลวงพระบางนะจำไว้ เอาปืนแก็ตลิ่งไปด้วยสักกระบอก” ท่านแม่ทัพรีบดักคอ
“ถ้าข้าศึกยังอยู่พอตีได้ก็รีบทำการ แล้วรักษาเมืองไว้ อย่าผลีผลามตามไปติดกับ”
ท่านขอให้เรียกพลกลับจากเยี่ยมบ้านทั้งหมด
“กระผมยังกังวลใจว่าจะมีทหารกลับมาสักกี่คน เพราะอายุของพวกอาสาครบห้าปีแล้ว ทางราชการก็ยังเงียบ ไม่เห็นออกตราภูมิคุ้มห้ามตามสัญญา” ยอดย้ำปัญหานี้เพราะเกรงว่าจะไม่มีคนกลับมาเข้ากรม
“คนของเราบอบช้ำทั้งกายและใจมามาก ถ้าบุญของสยามยังดีคงจะมีคนรักบ้านเมืองกลับมาช่วย ฉันจะตามไปเมื่อเสบียงพร้อม เราต้องไปอยู่อีกนานแน่ๆ เพราะอาจต้องไปจนถึงเมืองไล”
แม้จะได้รับยศพลตรีมาหมาดๆแต่ท่านกลับโกรธว่า “เป็นความผิดของฉันแท้ๆที่จับลูกชายท้าวไลหวังเป็นประกันเลยทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนอีกครั้ง”
“พวกเราไม่มีใครโทษท่านหรอก” พวกนายทหารเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน แต่ท่านแม่ทัพยังบ่นว่า
“นี่ฉันยังไม่มีปลัดทัพเลย”
นายจ่ายวดโผล่เข้ามาในที่ประชุมพอดี “พระพลัษฏานุรักษ์ จากกรมศุลกากรรายงานตัวขอรับ”
แม้ยินดีที่เห็นเพื่อนเก่า แต่พระนายไวยยังเคือง “แกจะมารับงานปลัดทัพหรือ ฉันไม่อยากขัดความก้าวหน้าของเพื่อนดอกนะ”
“กระผมตั้งใจกลับมารับใช้นะขอรับ” นายจ่ายวดพูดเอาใจ
“ไม่มีใครเขาเชื่อหรอกนายจ่ายวด ในหลวงทรงพระราชบัญชาให้ถอนตัวแกมาช่วยงานทัพต่างหาก แกไปลองจัดเก็บภาษีที่ลาวดูก็ได้” พระพหลฯ อดแหย่เล่นไม่ได้
“วันนี้ฉันเชิญพระสารสาสน์พลขันธ์ (เยรินี่) มาร่วมประชุมด้วย เพราะมีเรื่องสำคัญที่พวกเราควรรู้”
เยรินี่หันมามองที่ยอดก่อนจะเริ่มพูดว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ส่งเพื่อนเก่าของคุณดูปองท์มาด้วย เสียดายว่าไม่ได้พบกัน คุณคงจำพันโทอิโต้ได้”
“นึกออกแล้วขอรับกระผมพบเขาในวันที่มีการสาธิตปืนกลแกตลิ่งที่โตเกียว”
“ญี่ปุ่นมาขอมีความสัมพันธ์ทางการทูตกันกับสยาม เขาห่วงปัญหาชายแดนที่ติดกับฝรั่งเศสหากปะทะกันสยามจะเสียเปรียบ เพราะฝรั่งเศสมีดินปืนชนิดใหม่ที่ไร้ควันหรือ Smokeless gun powder”
“ดินปืนไร้ควัน!” ทุกคนในห้องอุทานเสียงเดียวกัน
“เราจะเสียเปรียบมากเพราะไม่เห็นที่ตั้งของศัตรู” เยรินี่อธิบายต่อ “ดินชนิดนี้ยังแรงกว่าดินดำที่ปืนชนัยเดอร์ของเราใช้ กระสุนฝรั่งเศสลดขนาดเหลือแค่ 8 มิลลิเมตร วิถีกระสุนตรงและ ไกลกว่าหลายร้อยหลา แถมยังมีแมกกาซีนหลอดใต้ลำกล้องใส่กระสุนได้ตั้ง 8 นัด”
“อย่างนี้ไม่ปั่นป่วนไปทั่วยุโรปหรือขอรับ” ยอดจ้องดูรูปภาพ ปืนลาเบล รุ่นล่าสุดของฝรั่งเศสที่นายอิโต้เพื่อนเก่าฝากมาให้ “กระผมสังหรณ์ใจชอบกลเมื่อ 20 ปีก่อน ในโตเกียวทหารฝรั่งเศสเคยดูถูกสยามไว้มากว่าให้กระผมกลับมาเตรียมตัวรับมือมันไว้ หรือคราวนี้จะได้สู้กันจริงๆเสียที”
“อย่ากังวลเกินไปเลย ฝรั่งเศสคงยังไม่นำปืนใหม่เอี่ยมแบบนั้นมาใช้ล่าอาณานิคมหรอก และเราก็คงหลีกเลี่ยงที่จะเป็นศัตรูกัน” ท่านแม่ทัพปลอบ

“ถ้าไม่ใช่ปืนชนิดนี้ ทหารฝรั่งเศสก็ยังมีปืนเล็กยาวจุทีละ 1 นัดแบบกราส์ (Gras M1874) ที่ยังใช้ดินดำแบบเก่า” เยรินี่ส่งภาพวาดของปืนอีกชนิดหนึ่งที่ยอดดูแล้วมีปุ่มเหมือนคันชักอยู่ข้างโครงปืน

“ไอ้ปุ่มนี่มันคืออะไร ปืนลาเบลก็มีเหมือนกัน” คุณพระพหลฯยื่นหน้าเข้ามาชี้ที่รูป
“เขาเรียกว่าลูกเลื่อน (Bolt Action) คุณเปิดปิดรังเพลิงโดยการพลิกก้านแล้วชักออกมาจุกระสุน เอ….เหมือนอะไรหนอ อ้อเหมือนกลอนประตูหน้าต่างของฝรั่งนี่แหละ มันแข็งแรงทำให้ยิงกระสุนที่มีกำลังสูงได้ไกลกว่าปืนของเราทั้งนั้น” เยรินี่ทำไม้ทำมืออธิบายเรื่องระบบลูกเลื่อน
“โลกของอาวุธทหารช่างเปลี่ยนเร็วเหลือเกิน” ยอดคราง เขารู้สึกเป็นคนแก่ เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ยังใช้ปืนแก็ปรบกันในอเมริกาอยู่เลย
“ยังมีอาวุธหนักอีกชนิดหนึ่งที่น่ากลัว” เยรินี่ขัดจังหวะ “ฝรั่งเศสมีปืนใหญ่ห้าลำกล้อง ขนาดเล็กๆ คล้ายปืนแกตลิ่งยิงกระสุนลูกเท่ากำปั้นได้เร็วราวจักรผันอีกด้วย ขอให้ระวังไว้”
เมื่อเลิกประชุมยอดพบเยรินี่ยืนรออยู่ที่ท่าน้ำ “ฉันทราบว่า คุณดูปองท์ ห่วงแม่หญิงคนสวย ที่หลวงพระบางจึงเก็บของฝากห่อนี้มาให้ อย่าให้ใครเห็นล่ะ ขอให้โชคดีกลับมาไวๆนะ”
ยอดรับห่อผ้าจากมือของเยรินี่ มาเปิดดูวัตถุสีดำ 4 แท่งมันเป็นอะไรไม่ได้นอกเสียจาก
“คุณพระช่วยนี่มัน …….. ไดนาไมท์”
ทัพหน้ากราบถวายบังคมลาพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2430 เรือกลไฟไปส่งที่เมืองพิชัย ยอดกำลังจะเร่งทัพไปลาวกลับได้รับหนังสือด่วนจากกรุงเทพ
ถึงพี่ยอด
ขอให้รั้งทัพไว้ที่พิชัย รอจนกว่า พระยานนทบุรีเกษตราราม (ทัด สิงหเสนี) ข้าหลวงใหญ่เมืองหลวงพระบางมาสมทบ ขณะนี้เจ้าหลวงอุ่นคำและปาวีกำลังเดินทางจากน่านมาเข้าเฝ้าที่กรุงเทพฯ หากพบกลางทางอย่าให้ปาวีย้อนกลับไปด้วย คาดว่าจะปล่อยคำสามไปเกลี้ยกล่อมคำฮุมที่เมืองไล ถ้าพบอย่าได้ขัดขวาง ที่กรมมีทหารอาสากลับมากว่าครึ่งแล้วน่าชื่นชมน้ำใจนัก
เจ้าหมื่นไวยวรนาถ
“ชักช้าอยู่ได้ หลวงพระบางแตกตั้งเดือนครึ่งมาแล้ว คำแก้วจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้”
ยอดเร่งเดินทางทันทีที่ท่านข้าหลวงมาถึงเมืองพิชัย สังเกตท่านเคร่งเครียดเมื่อเห็นเหล่าทหารอาสา จนกระทั่งออกเดินทางขึ้นเขาไปบนถนนที่เรียกกันว่า “ถนนช้างร้องไห้” (The Road of Crying Elephants) นั่นแหละท่านจึงได้เอ่ยปาก “ฉันมีเรื่องที่ครูยอดและหลวงดัษกรฯ คงไม่ชอบใจนัก” ดูท่านอึกอักมาก “พระไชยชุมพลถูกปล่อยตัวแล้วโดยไม่มีการไต่สวนและไม่มีความผิด”
“หา แล้วพวกทหารจะเอากำลังใจที่ไหนไปรบล่ะขอรับ”
“มันออกมาจริงๆ ถูกเปลี่ยนตำแหน่งเป็นพระไชยสวัสดิ์ กรมการเมืองพิชัย”
“เขาทำกับคนผิดอย่างนี้เอง ชาวพิชัยจะคิดว่ากรุงเทพฯไม่เห็นแก่ทุกข์ของราษฏร”
“ยิงมันซะคราวนั้น ก็สิ้นเรื่อง ครูยอดจะให้กระผมย้อนกลับไปก็ได้นะขอรับ” หลวงดัษกรฯ คำรามลั่น เล่นเอาท่านข้าหลวงต้องโบกมือห้าม
‘เงียบเชียบเหลือเกิน’ หลวงพระบางไร้วี่แววแม่หญิงที่เคยบอกเขาว่าจะมารอที่ริมฝั่งโขงทุกเย็น
“มันเผาเสียวอดเลยขอรับคุณยอด” ไอ้น้อมเสียดายร้านเหล้าเจ้าประจำในตลาดยังโดนไปด้วย
“ปัง” เสียงทุ้มหนักของปืนมาตินี่เฮนรี่ที่ยอดคุ้นหูดังมาจากวัดป่าฮวก “วู้ ครูยอด”
“แสนหาญ” ยอดควบม้าตรงขึ้นไปตีนบันใดพระธาตุภูศรี แล้วโดดลงกอดเพื่อนชาวน่าน
“ทำไมช้านัก กระผมมาถึงได้กว่าสองเดือนแล้ว ไม่พบพวกฮ่อเลยขอรับ”
ทหารเอกเมืองน่านมากับเจ้าน้อยมหาพรหมและยังทำการเข้มแข็งเช่นเคย จัดตระเวณรักษาความสงบ จับโจรที่คอยขุดคุ้ยหาสมบัติและจี้ปล้น ทำให้ชาวบ้านที่หลบในป่าเริ่มทะยอยกลับมาในเมือง
“วันแรกที่มาถึงตลาดยังร้าง เดี๋ยวนี้พวกแม่ค้าเริ่มมีของขายหนาตาแล้วขอรับ”
ยอดพาพระยานนท์ ตรวจความเสียหายโดยรอบ “ที่หนักมากคือวังเจ้าหลวง และพระญาติวงศ์ มันปล้นเผาเรียบ ส่วนวัดที่โดนหนักคือวัดวิชุน บ้านเรือนชาวบ้านวอดหลายสิบหลัง เราสืบได้ความว่า ในวันที่ฮ่อบุกวังแล้วก็ถอยกลับไป ตกค่ำลาวมาปล้นซ้ำ ขุดหาทรัพย์ที่เจ้าของเรือนฝังซ่อนไว้ พอไม่พบก็เผาเสียสิ้น” ท่านข้าหลวงใหญ่จึงว่า
“ฉันจะเสนอให้กรุงเทพฯออกเงินสร้างวังถวายเจ้าหลวง จะได้มาประทับเป็นมิ่งขวัญคนลาวได้”
ยอดมายืนนิ่งงันที่ซากดำเหลือแต่ตอของเรือนหอ ตัวเจ้าบ่าวร่างสั่นสะเทิ้มด้วยความแค้นใจ
‘ฉันมัวแต่ลังเล ถ้ารับคำแก้วกลับมาเสียคราวนั้นก็คงสิ้นทุกข์’
เจ้านายฝ่ายลาวที่มากับยอดเรียกพ่อแม่คำแก้วและป้าน้อยเข้ามาพบ อดีตทหารเมืองน่าน เล่าว่าเมื่อเจ้าอุปฮาดนำทหารกว่า 300 คนไปขอร้องพวกฮ่อให้รั้งไว้แค่เมืองงอยนั้น เล่าเต็กเชงใช้กลเดียวกับที่เข้ามาในหลวงพระบางคืออ้างว่ามาดี ครั้นตกค่ำก็จู่โจมเข้าทำร้าย
“ไอ้พวกทหารของเฮามันหนีไปก่อนสัก 200 คน แต่หัวค่ำแล้ว เจ้าอุปฮาดท่านโดนเข้าตีกลางดึก ข้าก็พาท่านหนีมาที่ปากอู ให้คนมาขอทหารมาจ่วยคุมปากน้ำไว้บ่ให้มันออกน้ำของได้ กลับมุดหัวกันหมด ท่านถูกตามมาทันก็รบจนสิ้นใจ๋ที่นั่นเอง เราถวายเพลิงกั๋นตามมีตามเกิด”
ป้าน้อยกอดขายอด เล่าว่าคำฮุมกับฮ่อหนวดเหลืองจับพวกผู้หญิงไปร้อยกว่าคน และเหตุการณ์ที่พวกเมืองพิชัยมาช่วยให้พวกตนหนีออกมาได้
“มีฮ่อเป็นฝรั่งหนวดเหลือง!!!!” ทุกคนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน พระยานนท์ตั้งข้อสงสัยว่า
“ฉันว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหลายนี้ชักมีกลิ่นพวกฝรั่งเศสอยู่เบื้องหลังแน่ๆ”
“ป้อ โบสถ์ของบาทหลวงฝรั่งยังอยู่ดีหรือ” ยอดถามพ่อคำแก้วเพราะนึกอะไรขึ้นได้
“มันก็ยังอยู่ดีนะ บ่หันพวกฮ่อมันปล้นเลยคุณพระ”
“กระผมจะเล่าเรื่องบาทหลวงอันโตนิโยให้ท่านข้าหลวงได้ทราบไว้ขอรับ ครั้งก่อนก็มายุจนนายทหารปืนใหญ่ชาวยุโรปของเราต้องถูกส่งกลับ” ยอดเล่ารายละเอียดรวมไปถึงถูกสายลับชาวญวนติดตามกองทัพ จนต้องตัดสินใจสังหาร
“ตอนทหารน่านมาถึงก็มีข่าวลือว่าพวกฮ่อจะกลับมาอีก พอพี่ยอดมาในตลาดก็ลือแบบเดียวกัน เหมือนกับแกล้งให้เราอยู่แต่ในเมือง” แสนหาญชักเอ่ะใจ
“ขอให้มีคนของเราสอดส่องโบสถ์นี้ตลอดเวลา” ท่านข้าหลวงสรุป แต่นี้จะวางใจใครไม่ได้
ยอดซักไซ้ไล่เรียงถึงตำแหน่งสุดท้ายก่อนคำแก้วแยกหนีไปโดยละเอียด
“กระผมพอจำได้ตรงแม่น้ำอูพบกับน้ำนัว เราควรรีบตามแม่คำแก้วมาโดยเร็วขอรับ” ยอดหันไปมองหลวงดัษกรฯ “ทางนี้หลวงดัษกรฯคงพอดูแลได้ กระผมห่วงว่าพวกเธอจะโดนไข้ป่าเล่นงาน”
“ไม่ได้นะ ทหารของเรามีไม่กี่คน อย่างน้อยที่ฉันกะไว้ควรมีการจัดกองกำลังชาวลาวไว้ช่วยสักสองสามร้อยคน ฉันเห็นใจว่าครูยอดเป็นห่วงแม่หญิง อดใจสักพักเถิดแล้วค่อยไป” ท่านข้าหลวงตบเบาๆที่หลังยอดเพื่อเรียกสติ ยอดจนใจได้แต่รับปากว่า
“ขอรับใต้เท้า กระผมจะจัดการให้และอีกสองวันขอใต้เท้าประกาศเรียกชาวเมืองมาที่ริมหาด จะมีการยิงปืนกลแก็ตลิ่ง และปืนใหญ่ให้ชมจะได้อุ่นใจ แต่กระผมคงขอให้เจ้าราชภาคิไนยนำทหารไปกู้ค่ายเมืองงอยตั้งยุ้งฉางรอท่านแม่ทัพก่อนขอรับ”
คุณพระพิชิตชาญณรงค์ขบกรามแน่นด้วยความแค้น ถึงแม่และป้าน้อยจะหลบตาก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคำแก้วและโจรฝรั่ง ‘ไอ้หนวดเหลืองกับไอ้คำฮุม กูจะตามเอาชีวิตมึงให้จงได้’
เพียงสิบวันต่อมายอดก็หาเรื่องมาพบเจ้าราชภาคิไนยที่เมืองงอยจนได้ ธงช้างกลับมาโบกสบัดเหนือเมืองงอยซึ่งถูกเผาเหลือบ้านโทรมๆอยู่เพียง 4 หลัง อีกครั้ง มีการซ่อมสร้างค่ายใหม่อย่างเร่งด่วน
“ฉันให้คนออกค้นไปทั่วทุกหมู่บ้าน พวกแม้ว และไทยทรงดำอพยพจากสิบสองจุไท ให้การพ้องกันสองเรื่องว่าหัวพันห้าทั้งหก ยังสงบราบคาบดีเพราะบารมีขององบา ฮ่อผู้เฒ่าที่เข้าทู้ไว้กับพระนายไวย” เจ้าราชภาคิไนยยิ้มต้อนรับ ท่านใส่เสื้อราชปะแตนนุ่งผ้าม่วงสวมหมวกเฮลเมทสีขาว
“พวกฮ่อหนีเข้ายูนานแล้วจริงๆส่วนไอ้คำฮุมกับพวกไลเจาแยกกลับแม่น้ำดำ เออ มีอีกเรื่องคงช่วยช่วยให้ครูยอดมีหวังเพราะชาวบ้านร่ำลือถึง หัวหน้าฮ่อหนวดเหลืองและนางสังขารจากหลวงพระบาง”
‘คำแก้วยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ’ เจ้าลาวจูงมือยอดมาที่เต้นท์หลังใหญ่ในนั้นมีหญิงลาวกว่าสิบคนหุงหาอาหารกันอยู่ “พวกนี้หนีมาจากเงื้อมือไอ้คำฮุมมาเดือนหนึ่งแล้ว ได้ความว่านางสังขารของเราเอาช้างลอบโจมตีนอกเมืองขวาริมแม่น้ำอู”
“โอ้ นี่แม่หญิงของกระผมกลายเป็นหน่วยแมวเซาไปแล้ว เจ้าขอรับ” ยอดลดเสียงเป็นกระซิบ “กระผมออกมานี่เพราะทนรอไม่ได้แล้วคำแก้วออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆอันตรายมาก พวกไอ้คำฮุมมันเป็นนักรบไหนเลยผู้หญิงกับควาญช้างจะชนะมันได้ทุกครั้ง กระผมว่าจะออกตามทันทีขอรับ”
เจ้าราชภาคิไนยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ถึงฉันห้ามก็คงไม่ฟัง ตอนเที่ยงคืนมาหาฉันก่อนก็แล้วกัน”
ครั้นถึงกำหนดยอดโผล่เข้ามาในเต้นท์ในชุดของชาวไล เขาพบว่าร้อยโทหรุ่นอยู่ในนั้นด้วย
พร้อมยื่นจดหมายให้
ถึงพี่ยอด
ฉันยังตามมาช่วยไม่ได้ ต้องรอเจ้าหลวงเข้าเฝ้าที่พระที่นั่งจักรีเสียก่อน รัฐบาลฝรั่งเศสมาขอให้สยามร่วมมือกันปราบฮ่อตามชายแดน แล้วสำรวจเพื่อนำไปเจรจาปักปันแดน ในกองทัพมีนายทหารแผนที่ของฝรั่งเศสมาสองคน ฝ่ายเราก็จะมีข้าหลวงไปร่วมทัพฝรั่งเช่นกัน ไอ้ปาวีข่าวว่าป่วยไข้ป่าอยู่ที่พิชัย ต้องถ่วงอย่าให้มันไปชักจูงทหารของมันเข้ามาอ้างดินแดนของเราได้ ช่วยจับตามันด้วย
เจ้าหมื่นไวยวรนารถ
“ข่าวว่ามันชุมนุมทัพที่เมืองเลากายเกือบ 3,000 นาย ขอรับ เราก็ส่งคนไปเกาะมัน 4 คน หัวหน้า ชื่อพระไพรัชพากย์ภักดีหรืออะไรนี่ละ”
“ท่านสั่งว่านายปาวีจะมาหลวงพระบางขอให้ครูยอดไปถ่วงไว้ก่อน” ส่วนเรื่องกองทหารอาสานั้น นายหรุ่นบ่นอุบ “ไม่ไหว พอมีกรมยุทธนาธิการแม่ทัพก็ไม่มีอำนาจขาดอย่างก่อน เขาสั่งกันลงมาง่ายๆ เรือโยงเราไม่มีประทุนกันแดดกันฝน ทหารเห็นเข้าก็ว่า อ้อ….นี่เจ้านายเห็นเราเป็นไพร่จะกินอยู่ไม่แลเลยท้อกันมาก ถ้าท่านแม่ทัพไม่มาเองจะโดดน้ำหนีกันขอรับ”
“แล้วนี่จะไปกันกี่คน ฉันเห็นมีแต่เจ้าน้อมแล้วก็เจ้าเวช และ เจ้ารุ้ง” เจ้าราชภาคิไนยชักเป็นห่วง
“ยังมีไอ้จิตกับไอ้เจียนอีกสองคนขอรับ กระผมไล่มันกลับมันก็ไม่ยอม กอดขาจะไปด้วยให้ได้ กระผมห่วงมันว่าเพิ่งมีลูกมีเมียมาเสี่ยงทำไม ฝีมือของมันก็เป็นรองของคนอื่นเขา” ยอดมีสีหน้าเป็นห่วง
“คุณพระอย่าลืมกระผมด้วยสิ” แสนหาญเดินเข้ามาโอบไหล่ยอดไว้พร้อมบอกว่า เขากับลูกน้องอีกสองคนได้รับอนุญาตจากเจ้านายเมืองน่านนานแล้ว “หนทางข้างหน้าแสนอันตราย จะทิ้งกันได้อย่างไร”
“ฉันก็เห็นด้วยคุณพระจะรอดกลับมาได้ต้องมียอดฝีมือและคนคุ้นทางไปหลายๆคน ส่วนฉันพอจะช่วยได้เท่านี้” เจ้าลาวยื่นห่อยาควินินที่มีอยู่ในเมืองงอยให้และเรียกลูกน้องซึ่งยอดรู้ว่าเป็นคนสนิท และเป็นคนนำทางในการทัพครั้งก่อนๆมาให้สองคน
“กระผมไม่ทราบจะตอบแทนน้ำใจกับพวกเราทุกคนอย่างไรดี เตรียมเครื่องกันหนาวไปด้วยและแต่งกายแบบพวกไอ้คำฮุมเพราะเราคงต้องไปสุดชายแดนเป็นแน่” ยอดมองสายฝนที่โปรยปรายนอกกระโจมด้วยความกังวล
วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887)
ปาวี ชายฝรั่งเศสที่ถูกท่านแม่ทัพกล่าวถึงในหนังสือลับถึงยอด บัดนี้ค่อยทุเลาจากไข้ป่าอยู่ในเรือที่เมืองพิชัย ท่านกงสุลใหญ่จากบางกอกอุตสาห์เอาเรือกลไฟขึ้นมาพบพร้อมข่าวด่วนว่า กองทัพสยามกับฝรั่งเศสตกลงจะออกปราบปรามพวกโจรฮ่อและทำแผนที่ชายแดนร่วมกัน
“ฉันก็ต้องรีบกลับไปหลวงพระบางทันทีสินะ ถ้าได้พบทหารของเราได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ปาวีมีแผนอยู่ในใจแล้ว “ทหารฝรั่งเศสน่าจะบุกลึกเข้ามาในสิบสองจุไทได้ไม่ยาก ที่ฉันว่ายากตอนนี้คือไม่มีใครยอมให้เช่าช้างและก็มีแต่พวกสยามคอยซุ่มสอดแนมทั้งวันทั้งคืน”
“ผมพอจะรู้ตัวคนที่จะช่วยได้ ศัตรูเก่าของแม่ทัพสยามชื่อพระพิชัยชุมพล ว่าแต่จะเป็นไปได้หรือที่คุณจะไปดึงทหารฝรั่งเศสเข้ามาใจกลางลาวได้”
ปาวียิ้มอย่างมั่นใจเขาไม่ปริปากสักนิดว่าคนใช้ชาวญวนของบาทหลวงอันโตนิโย ได้ลอบมาส่งข่าวแล้วว่าเจ้าฮ่อหนวดเหลืองได้เตรียมเสบียงอาหารไว้แล้วที่เมืองแถง
เสียงร่ำไห้จากชายป่า
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง แฝงตัวอยู่ในความมืดริมถนนที่จะไปยังเมืองไลเจา แสงจันทร์อ่อนๆส่องให้เห็นทางสามแพร่งเบื้องหน้า ยอดเรียกไอ้น้อมเข้ามาใกล้ๆแล้วกระซิบถาม
“ข้าเสียเวลากับเอ็งไปสองคืนแล้วให้มาดักจับชาวบ้านหาข่าว ก็กลับมาอ้างว่าได้ยินเสียงผีเสียงสาง”
“พวกเราได้ยินจริงๆขอรับ” ผู้ที่ตอบกลับเป็นไอ้เจียน มันชี้ไปทางแยกด้านซ้ายซึ่งนำไปสู่ป่าเขานอกเมืองไลเจา บริเวณที่ยอดคาดว่าคำแก้วและพวก น่าจะหลบหาทางเข้าโจมตีที่พักของไอ้นิโคลองเพื่อช่วยเชลย
อา…. เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ยอด ดูปองท์ หรือพระพิชิตชาญณรงค์ ต้องยอมทนอัปยศเป็นทหารหนีทัพ แต่จะว่าไปก็เป็นการหนีทัพที่ประหลาดที่สุด แทนที่จะหนีกลับบ้าน เขากลับอยู่ลึกเข้าใจกลางแดนศัตรูเพื่อตามหาหญิงที่รัก
แสนหาญทหารเอกเมืองน่าน หันมาช่วยเขกหัวไอ้น้อม
“ทางสามแพร่งก็มักจะมีเรื่องผีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องเข้าไปให้จงได้”
“ถูกแล้วความเคลื่อนไหวของคำแก้วดูจะเงียบหายไปเกือบเดือนแล้วนับตั้งแต่เธอได้บุกตีเมืองขวาเสียราบ”
ยอดนึกถึงการแกะรอยตามคำแก้วในเดือนแรกนับแต่ออกจากเมืองงอย ชาวไร่ชาวเขา ต่างพูดถึงกิตติศัพท์ของหล่อนและกองทัพช้างเล็กๆ ที่เข้าช่วงชิงเชลยหญิงลาวที่โดนขายเป็นทาส แต่กว่ายอดจะมาถึงเมืองนี้ได้ก็ต้องฝ่าฝนฝ่าโคลนอย่างแสนสาหัส บ่อยครั้งที่คนในคณะกลับมาจับไข้ป่าอย่างรุนแรงจนคณะค้นหาจำต้องหยุดพักบนที่สูงหนีน้ำเป็นเวลาหลายๆวันและที่สำคัญเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่หญิงของเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางออกจากลำน้ำนัวไปสู่ลุ่มน้ำอู
เมื่อยอดไปถึงเมืองขวานั้น พวกกรมการเมือง ได้ออกมาต้อนรับ
“แม่หญิงคำแก้วแน่ๆขอรับ มาโกรธพวกกระผม หาว่าเดิมเมืองขวามีแค่ตลาดทาสจับพวกขมุมาขายแต่นี่กลับรับซื้อหญิงลาวด้วยกันที่ไอ้นิโคลองและไอ้คำฮุมมันนำมาให้เพื่อขายต่อเป็นทาสให้พ่อค้าจีนในยูนาน”
ยอดกวาดสายตาไปยังตลาดสดริมน้ำอูและโรงเรือนขังทาสที่ถูกช้างทำลายและยังซ่อมไม่เสร็จ
“คงโกลาหลน่าดู แต่ฉันไม่เข้าใจเพี้ยเมืองขวานายของเจ้า เดิมเป็นคนดีใกล้ชิดกับเจ้าหลวง แล้วเหตุใดมาผูกมิตรไปเป็นพวกที่ไปเผาเมืองหลวงพระบาง”
“ท่านคับแค้นใจขอรับ ที่โดนข้าหลวงไทยใส่ความจนถูกโบยต่อหน้าพระที่นั่ง แต่นั้นมาท่านเชื่อว่าพวกฝรั่ง น่าจะคุ้มครองลาวได้ดีกว่าทหารไทย”
ยอดพยักหน้าเข้าใจ “เพราะไอ้พระไชยชุมพล น้องเขยคนชั่วของแม่ผึ้งที่ทำให้เรื่องบานปลาย”
“ตอนนี้ท่านหลบไปเมืองจีน หรืออยู่กับพวกญวนกระผมก็ไม่ทราบ” กรมการเมืองบอก
“แล้วแม่หญิงพาทาสที่ช่วยไปทางไหนต่อ”
“ทาสที่ช่วยไว้มีราว 12 คนขอรับ แม่หญิงไม่ไว้ใจพวกกระผมแต่จ้างพวกแม่ค้าชาวไทยทรงดำให้ล่องเรือไปส่งที่หลวงพระบาง”
แม่ค้าที่นั่งขายเลือดควายอยู่ใกล้ๆ ยิ้มฟันดำบอกว่า “เราส่งถึงบ้านเรียบร้อยหมดแล้วจ้า พวกเรานับถือน้ำใจแม่หญิงเหลือเกิน เห็นว่าจะตามล้างแค้น ไอ้โจรหนวดเหลืองไปยังเมืองแถง” หล่อนชี้ข้ามน้ำไปยังภูเขาสูงลิบซึ่งกั้นเขตเมืองแถงเอาไว้
นับจากนั้นยอดก็ติดตามเข้าตรวจค้นหมู่บ้านพวกแม้วและขมุ ที่หลบพวกฮ่ออยู่ตามป่าเขา บางแห่งที่รับซื้อทาสเอาไว้ก็ถูกช้างบุกเข้าพังหมู่บ้าน หากไม่ยอมคืนทาสให้หล่อนดีๆ จนสุดแดนเมืองแถงแล้วนั่นแหละที่ข่าวคราวของแม่หญิงคนงามดูจะจางหายไปแทบไม่มีผู้ใดได้พบเห็น
“เราตามรอยของคำแก้วจนแน่ใจว่าหล่อนต้องมุ่งสู่เมืองไลเจาแน่นอนขอรับ” แสนหาญชวนคุยในความมืดเมื่อเห็นว่ายอดมีสีหน้ากังวลใจเมื่อพูดถึงแม่หญิง
บัดนี้ยอดและเพื่อนร่วมตายมาหยุดอยู่ตรงทางสามแพร่ง สายฝนเริ่มโปรยลงมา ทุกคนอยู่ในความเงียบปล่อยให้ไอ้รุ้งกับไอ้เวชอดีตขุนโจรเมืองสุพรรณ สวดบริกรรมคาถาของมันซึ่งยอดไม่อาจจะเข้าใจได้
“อย่างน้อยก็ทำให้พวกเราสบายใจขึ้นนะขอรับ” แสนหาญกระซิบ
“แต่กระผมก็ยังคิดไม่ออกว่าตอนที่เราเข้าค้นค่ายไอ้นิโคลองที่เมืองแถง ว่าทำไมมันฝังข้าวสารไว้ใต้ดินมากมายขนาดนั้น โดยมีพวกโจรของมันเฝ้าและไม่มีคนของไอ้คำฮุมอยู่ด้วยเลย”
“สันดานโจรมันก็ไม่ไว้ใจกันเองหรอก เป็นไปได้หรือไม่ที่มันยังมีโจรฮ่อธงแดงซุกซ่อนเอาไว้”
ยอดแสยะยิ้มในความมืดเพราะด้วยระเบิดเพียงสองตูม เสบียงเหล่านั้นก็สิ้นสภาพ
“พวกธงแดงมันสลายตัวไปเมืองจีนหมดแล้วนี่นา” แสนหาญพูดค้างไว้เพียงเท่านี้และถ้าเขาอ่านสีหน้ายอดออก ก็จะพบว่าในใจของยอดกำลังนึกถึงกองทัพฝรั่งเศสที่ไอ้โจรหนวดเหลืองมันอาจจะนั่งรออยู่ก็ได้
สองโจรเมืองสุพรรณทำสัญญาณให้ทุกคนเดินตามก่อนที่ฟ้าจะเริ่มสาง เมื่อใกล้ชายป่าทันใดนั้นเสียงโหยหวน ก็ดังออกมาจากเนินที่อยู่ข้างหน้า เสียงกรีดร้องโอดครวญของหญิงสาวมันช่างชวนขนลุก ไอ้น้อมกระโดดกอดขายอด ปากคอสั่นพูดว่า “นี่แหล่ะขอรับเราเจอมาสองคืนแล้ว”
ยอดเองก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว แล้วเสียงนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องเพลงปนเสียงสะอื้น เหมือนเพลงกล่อมเด็ก
“ภาษาอะไรน่ะแสนหาญ”
“ภาษาลาวขอรับ เมื่อกี้ยังกล่อมลูกอยู่ดีๆแล้วกลับมาร้องเรียกหาลูก”
“ถอยดีกว่าขอรับคุณยอด”ไอ้น้อมขอร้อง เลยโดนยอดถีบลงไปนั่งจ้ำเบ้า
“มึงจะถอยไปได้แค่ไหน นี่จวนจะสว่างแล้วเดี๋ยวโดนข้าศึกจับตัวได้ มีทางเดียวที่จะไปคือเดินขึ้นไปหาเจ้าของเสียงนั้น”
ไอ้น้อมหลับตาปี๋ “แหะ แหะ คุณยอดไปก่อนก็แล้วกัน กระผมขอคอยอยู่ตรงนี้”
“คลิก” เสียงง้างนกปืนโคลท์ลูกโม่เป็นคำตอบที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าผี
“ถ้าอีผีของเอ็งมันร้องเป็นภาษาไลเจาข้าก็อาจจะยอมถอย แต่นี่มันร้องเป็นลาวก็ต้องเป็นคนของพวกเรา ถึงเป็นผีก็ยังเป็นผีของพวกเราเร็ว ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
ไอ้รุ้งนำไปได้อึดใจหนึ่งก็หยุดชะงัก เห็นก้มลงสำรวจที่พื้นดินอย่างผิดปกติ
“มีอะไรหรือรุ้ง” ยอดกระซิบถาม
“รอยตีนเด็กมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ได้ยังอย่างไรกันขอรับ”
แสนหาญเข้ามาสำรวจแล้วตอบแทนไอ้รุ้ง
“รอยยังใหม่อยู่เลยขอรับ เหมือนกับมาวิ่งเล่นอยู่กลางป่าคนเดียว”
ยอดมึนงงไปหมดพูดอะไรไม่ออก มันมีอะไรหลายอย่างในโลกนี้ที่เขาเคยผจญมาก่อน แต่นี่ดูจะแปลกประหลาดมากที่สุด
“ดูเหมือนรอยจะพาเราขึ้นเดินไปข้างหน้าขอรับ” ทหารลาวที่มาด้วยชี้ไปในความมืด
ยอดแตะหลังเป็นสัญญาณให้ตามรอยต่อไป แล้วทั้งหมดก็เดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ ขึ้นไปเรื่อยๆตามรอยตีนซึ่งมุ่งไปใกล้เสียงร้องโหยหวนนั้นเข้าไปทุกที ที่โคนต้นยางใหญ่ทุกคนเห็นเงาตะคุ่มของหญิงคนหนึ่ง ผมยาวกระเซิง
“ผี ผีจริงๆอย่างพี่น้อมพูด” ไอ้เจียนซึ่งเคยเจอผีปอบมาแล้ว วิ่งหนีเป็นคนแรกตามด้วยไอ้น้อม
“ครูยอดรออยู่นี่กระผมไปเจรจาเอง ไม่ใช่ผีหรอก”
แสนหาญ ตรงเข้าไปนั่งใกล้หญิงผู้นั้น หล่อนร้องตกใจเอะอะอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ดูจะสงบลงด้วยคำพูด ปลอบประโลมเหลือแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นพักๆ แล้วเขาก็จูงมือหล่อนเดินมาไหว้ยอด
“แม่คนนี้เป็นคนลาวถูกพวกฮ่อจับมาหลายปีแล้วขอรับ ต่อมาพวกฮ่อทิ้งมันเพราะไม่มีอาหารจะกินทั้งๆที่มันตั้งท้อง มันว่าลูกชายของมันตายไปเมื่อต้นปี” แสนหาญนิ่งไปพักหนึ่งแล้วว่า “แต่เดี๋ยวก็บอกว่าอยากรออยู่ตรงนี้เพราะว่าลูกชายกำลังวิ่งเล่นอยู่”
“คงเสียสติไปแล้ว แต่ว่ามาอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร”
“มันว่ามีพวกที่มีช้างมาช่วยหล่อนไว้” พวกทหารลาวช่วยแปล
“ไหนพาไปพบพวกนั้นหน่อยซิ”
หญิงผู้น่าสงสารพาทั้งหมดลัดเลาะเข้าไปในป่า ขณะนั้นเริ่มฟ้าสางพอที่จะมองเห็นอะไรได้บ้าง แล้วจู่จู่ยอดก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลาง ที่พักของชายกลุ่มหนึ่ง ยอดมองหน้าแต่ละคนที่อยู่ในสภาพคนป่วยครึ่งนั่งครึ่งนอน สายตาแต่ละคู่ดูเหมือนจะรู้จักยอดมาก่อนไม่ใช่สายตาของศัตรู หนึ่งในนั้นคลานเข้ามากราบแทบเท้าของยอด
“คุณพระขอรับเป็นบุญเหลือเกินที่ได้พบกันอีก แต่คุณพระต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้นะขอรับ”
ชายคนนั้นนำยอดเดินไปยังกระโจมผ้าหลังใหญ่ ภายในกระโจมมีหญิงชาวลาวสี่ห้าคนกำลังนวดเฟ้นร่างของใครคนหนึ่ง ยอดเดินเข้าไปในสภาพเหมือนคนถูกสะกด พอจะเดาได้ว่าใครอยู่ใต้ผ้าห่มผืนนั้น ในใจนั้นคิดแต่ว่า
‘ไม่นะขออย่าให้เป็นอะไรเลวร้ายกว่านั้นเลย’
หญิงเหล่านั้นหลบทางให้ยอดเปิดผ้าห่มที่คลุมหน้าออก
“คำแก้ว” ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้หมองคล้ำเหงื่อผุดเต็มใบหน้าด้วยพิษไข้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ยอดเข้าช้อนร่างขึ้นอุ้มแนบไว้กับอก ได้ยินแต่เสียงเพ้อเบาๆว่า
“คุณพระฉันคงเป็นนางมโนราห์ตามหาให้คุณพระไม่ไหวแล้วฉันเหนื่อยเหลือเกิน” นับแต่นาทีนั้นยอดจำได้ว่าน้ำตาไม่เคยมากเท่าครั้งนี้ในชีวิต
“ไอ้น้อม” เขาพยายามรวบรวมสติ “เอาควินินมาเดี๋ยวนี้ แล้วแจกยาให้พวกเราที่นี่ด้วยข้าไม่ต้องการให้ใครตายแม้แต่คนเดียว”
เหยียบไลเจา
สามวันถัดมานับแต่แจกยาควินินไปแล้ว คำแก้วและพวกควาญช้างเริ่มหายไข้และแข็งแรงพอที่จะกินอาหารตามปกติ แต่แล้วเข้าทำนองความวัวยังไม่หาย ความควายกลับเข้ามาแทรก
“มันยังชักธงช้างอยู่ที่ทางสามแพร่งเหมือนเดิมใช่ไหม”
“ครูยอดลองดูเอาเองสิขอรับ” แสนหาญส่งกล้องส่องทางไกลให้ยอดดู “พวกมันยิงปืนขึ้นฟ้าให้ได้ยินเสียด้วย”
“แปลกมากไอ้พวกไลเจามันจะมาไม้ไหน เห็นทีเราจะต้องแอบลงไปดูกันแล้ว”
ที่ทางสามแพร่ง ยอดพยักหน้าให้ แสนหาญซุ่มอยู่ข้างทาง ตัวเขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนออกมาอยู่กลางถนนให้พวกมันเห็น พวกมันคนหนึ่งโบกมือให้ยอดแล้วเดินตรงมา ส่วนพวกที่เหลือยืนถือปืนอยู่ไกลๆ
“เป็นไงก็เป็นกันสิวะอย่างไรเราก็มีทหารซุ่มอยู่ข้างหลังตั้งหลายคน” ยอดง้างนกปืนโค้ลท์
“คุณพระขอรับกระผมคำสาม จำได้ไหม” ลูกชายคนเล็กของท้าวไล ยกมือให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ
“พวกเราตามหาคุณพระแทบพลิกแผ่นดิน”
“หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนคำสาม มีอะไรก็บอกมาตกลงเมืองไลเจาเป็นมิตรหรือศัตรูกับสยาม”
“ชักธงช้างอย่างนี้ก็ต้องเป็นมิตรซิขอรับ ท่านพ่อรอพบคุณพระอยู่ ขอเชิญเข้าไปที่เมืองเถอะ”
“เจ้ามีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ ครั้งสุดท้ายที่พบกัน เราปล่อยเจ้าให้กลับไปพูดจากับพ่อเจ้า ผลเป็นอย่างไรก็ไม่รู้”
คำสามเอามือล้วงหยิบหนังสือจากอกเสื้อ ชูให้เห็น 2 ฉบับ
“หนังสือของท่านแม่ทัพขอรับ น่าจะพอพิสูจน์ได้”
ยอดประหลาดใจที่สุด ‘เป็นไปได้อย่างไรที่พระนายไวย จะล่วงรู้ว่าเขามาถึงนี่และมีหนังสือมารอ’ เขาเดินตรงมารับหนังสือจากมือคำสาม
“คุณพระช่วย ลายมือของท่านแม่ทัพจริงๆ” เจ้าคำสามชิงพูดขึ้นว่า
“ส่วนอีกฉบับเป็นบันทึกการสารภาพผิดของท่านพ่อ กระผมนำส่งพระยานนท์ที่หลวงพระบาง ต้นฉบับป่านนี้ทูลถวายในหลวงที่กรุงเทพแล้ว ท่านแม่ทัพให้คัดสำเนาฝากให้คุณพระด้วยจะได้เชื่อใจ”
“คำสามตรงโน้นคนที่อยู่ในกลุ่มคือคำฮุม พี่ชายของเจ้าใช่ไหม”
“ขอรับ แต่เขาเกรงว่าคุณพระจะยังโกรธอยู่เลยไม่กล้าเข้ามา”
“เอาอย่างนี้ มาพบข้าที่นี่ในอีกสองวัน ถ้าพี่ชายเจ้ามีเจตนาดีจริงอย่านำอาวุธมาด้วย และภายในเที่ยงวันนี้ต้องจัดอาหารสดและข้าวสารสำหรับคนของข้า” คำสามหันไปมองพี่ชาย แล้วหันกลับมาตอบตกลงโดยไม่มีทีท่าพิรุธแต่อย่างใด แต่นั่นแหละพวกมันไม่รู้มาก่อนหรอกว่ามีพลปืนอย่างน้อยห้าชีวิต กำลังเล็งไปที่กลุ่มพี่ชายของมันตลอดเวลาที่ยอดยืนเจรจาอยู่ตรงนั้น
ถึงพี่ยอด
ขอให้หยุดการโจมตีทำร้ายชาวไลเจาอย่างเด็ดขาด ท้าวไลยอมสวามิภักดิ์ และให้ถือว่าแดนไลเจาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในไม่ช้านี้ ทหารฝรั่งเศสและพระไพรัชต์ ข้าหลวงกองทำแผนที่จะออกกวาดล้างโจรฮ่อถึงชายแดนไลเจาให้พี่ยอดควบคุมพวกเมืองไล อย่าให้บิดพลิ้วเปลี่ยนข้างไปเข้ากับฝรั่งเศส
ทางด้านหัวพันห้าทั้งหก เราขอให้องบาและองทั่ง ชักธงช้างแสดงตนเป็นคนของสยามเช่นกัน ส่วนฉันคงขึ้นไปไม่ทัน เหตุที่ต้องเลี่ยงฤดูไข้ป่าและอยากให้นายทหารแผนที่ฝรั่งเศสที่มากับฉันเข้าพื้นที่อย่างช้าๆ ทั้งหมดนี้โทษผิดที่พี่ยอดหนีกองทัพยังคงอยู่ เรามีเรื่องต้องสะสางกันอีกภายหลัง
เจ้าหมื่นไวยวรนารถ
พระพิชิตชาญณรงค์เอามือกุมขมับ จู่ๆแผ่นดินก็พลิก ศัตรูจะต้องมาเป็นมิตรกันทั้งที่ท่าทางของไอ้คำฮุมก็ไม่น่าไว้ใจนัก ถ้าเขาจะเรียกร้องให้มันส่งตัวไอ้นิโคลอง ดูซิมันจะยอมหรือ
ยอดอธิบายทุกอย่างให้แสนหาญทราบ ก่อนกลับถึงค่าย
“งั้นอีกสองวัน เราก็ต้องเดินเข้าไปกลางดงเสือ ว่าแต่คุณพระเตรียมตัวอธิบายแม่คำแก้วให้ดีเถอะ”
ยอดได้ยินตัวเองถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คำแก้วดูแข็งแรงขึ้นทุกวันเลยนะ” ยอดมุดเข้ามาในกระโจม ตรงเข้าสวมกอดโดยไม่ยอมให้แม่หญิงคนงามตั้งตัว “ดูสิตามตัวมีเลือดฝาดแล้ว”
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากนอกกระโจม “หยุดนะคุณพระ ข้างนอกคนเต็มไปหมด จะมาจับฉันเปิดผ้าดูโน่นดูนี่ได้ที่ไหน” ไม่พูดเปล่า คำแก้วชันเข่าขึ้นยันพุงกะทิไม่ให้เขาวุ่นวายเกินไป
“คุณพระเจ้าคะ เสี่ยงตายทิ้งอนาคตมาช่วยฉันไม่กลัวท่านแม่ทัพหรอกหรือ” หล่อนใช้ภาษาไทยกลางอย่างที่เขาคุ้นหูแทนอู้คำเมือง ยอดหอมแก้มเป็นคำตอบ ทำให้แก้มที่เคยหมองกลับมีสีชมพูเหมือนเมื่อพบกันครั้งแรกที่ริมฝั่งโขง
“แล้วไม่รังเกียจฉันหรือเจ้าคะ”
“มันเป็นชะตาชีวิตเลี่ยงไม่ได้หรอก ใครมันทำร้ายเธอ ฉันจะเอาคืนให้” ยอดตอบแต่มีสีหน้ากังวล
“เพียงแต่ว่า ฉันมีเรื่องต้องขอเกี่ยวกับไอ้คำฮุม” เขาหยิบหนังสือของท่านแม่ทัพมาอ่านให้ฟัง เพียงเท่านี้น้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มหล่อน ยอดซับน้ำตาให้ เขารู้ดีว่ามันปนไปด้วยความเสียใจและความแค้น
“ตกลงเจ้าค่ะ ฉันจะไม่ยุ่งกับคำฮุมให้คุณพระเสียงาน แต่ไอ้นิโคลองอย่างปล่อยไว้ให้เมียเสียใจเชียวนะ” ตลอดเช้าวันนั้นทุกคนในค่ายได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นลอดออกมาจากกระโจม
ครบกำหนดสองวันบรรดาลูกท้าวไลมายืนรอตามนัดหมาย คำฮุมเดินเข้ามาโค้งคารวะ โดยปราศจากอาวุธ
“เชิญคุณพระเข้าเมืองขอรับ ท่านพ่อและท่านแม่รออยู่ และเพื่อเป็นการขอขมาที่ทำให้เดือดร้อนกระผมเตรียมสิ่งนี้ให้แม่หญิงของคุณพระ” มันคือเสลี่ยงมีคนหามพร้อม
“มาเถิดจ่ะ เราสัญญากันแล้วนะ”
ยอดหันไปกวักมือเชิงขอร้องให้คำแก้วลงจากคอช้าง จริงอยู่สองวันที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนแข็งแรงขึ้นมาก แต่สำหรับหญิงบอบบาง ต้องขี่ช้างไกลๆ ดูจะทารุณอย่างมาก
ขบวนช้างกำลังจะข้ามน้ำตรงเข้าสู่เมืองไลเจา แต่ต้องหยุดลงเพราะคำแก้ว
“คุณพระเจ้าคะ ฉันขอกลับขึ้นไปขี่อีเอื้องเข้าเมืองไล” เมื่อหล่อนเห็นยอดทำหน้าฉงนจึงว่า “ไอ้พวกเมืองไลมันมาเผาบ้านเผาเมืองหลวงพระบาง ต่อให้คุณพระขอให้ฉันสงบคำที่มันมาเป็นมิตร ฉันก็ขอขี่ช้างสะพายปืนเข้าเหยียบเมืองมันอย่างมีศักดิ์ศรีสักครั้งหนึ่งเถิด”
อันเมืองไลชัยภูมิดูผึ่งผาย เข้าที่ค่ายถ้ารบดูขบขัน
ยาวแปดเส้นเป็นสง่า หน้ารำพัน แต่กว้างนั้นสี่เส้นแลเป็นแนว
ที่หลังเมืองมีเขาเอาทำป้อม ปักไม้ล้อมเป็นกระบังข้างละแถว
เหมือนขากบโอบบุรีไม่มีแวว บนเขาแพ้วยกธงว่าคงครอง
ที่พื้นเมืองเป็นแนวเนินตลิ่ง แลดูวิงเวียนตาหน้าสยอง
ทั้งขึ้นลงคงหอบสอบเหมือนซอง แล้วมีกองหินหาดลาดลงไป
จากนิราศตังเกี๋ยของหลวงนรเนติบัญชากิจ หนึ่งในคณะข้าหลวงไทย ที่ส่งไปกับกองทัพฝรั่งเศส ในการปราบฮ่อ
“เมืองของมัน สำคัญทีเดียวขอรับมีแม่น้ำตั้งหลายสายมาพบกันที่นี่ แล้วยังมีถนนตรงเข้าสู่เมืองแถงอีก” แสนหาญกระซิบ
“ดูเหมือนป้อมปราการนะ แต่ให้ตายเถอะฉันยังไม่เห็นไอ้นิโคลองเลยแม้แต่เงา”
ชาวเมืองเริ่มออกมายืนมุงดูคำแก้วขี่นำขบวนช้าง ทั้งหมดมาหยุดที่หน้าคุ้มท้าวไล ยอดบอกให้ทุกคนรออยู่ข้างล่าง เขากับแสนหาญจะขึ้นไปตามลำพังแต่คำแก้วรีบคว้าแขน
“ตามใจเมียสักครั้งนะเจ้าคะ ฉันขอตามไปด้วย”
ท้าวไลและภรรยา ลุกขึ้นต้อนรับโดยมีคำฮุมเป็นผู้แปลให้เพราะชาวไลใช้ภาษาไทยขาว มีคำจีนและญวนปะปนอยู่มากจนฟังไม่รู้เรื่อง
“กระผมพระพิชิตชาญณรงค์ยินดีที่กลับมาเป็นมิตรกันได้ ขอให้ท่านท้าวลืมเรื่องที่ลูกๆถูกจับที่ เมืองแถงเถิดขอรับ”
อดีตเสือเฒ่าแห่งเมืองไลเจายังไม่ทันตอบว่าอะไรก็โดน ยาแม่ไท้ถายเอ็ดด้วยเสียงอันดังว่า
“เพราะเจ้าเอาแต่อวดดีหลงทะนงตนข่มเหงเมืองเล็กเมืองน้อยจนเคยตัว พอแม่ทัพไทยมาทวงเมืองแถงก็ส่งลูกไปตั้งแง่ต่อรองจะเอาไว้เสียเอง ฉันเตือนตาเฒ่าหลายหนแล้วไม่เคยเชื่อ”
ยาแม่พูดด้วยภาษาไทยค่อนข้างชัด ท้าวไลได้แต่หลับตาปี๋ยกมือห้ามให้เมียเบาเสียงลงหน่อย ส่วนลูกๆถึงกับถอยกรูด ยาแม่ไท้ถายชายตาไปที่คำแก้วแว๊บนึง ก่อนหันมาเล่นงานคำฮุมลูกชายคนใหญ่เป็นรายต่อไป
“ส่วนเจ้า เสียแรงเคยไปรบให้เจ้านายญวนกับจีนมาไม่รู้กี่ครั้ง กลับไม่รอบคอบ มาคบพวกคนเลวๆกับโจรฮ่อ ไปปล้นหลวงพระบางทั้งๆที่ตอนเด็กเอ็งก็ไปบวชเรียนที่นั่น ทีนี้เข้าตาจนแล้ว ญวนและจีนแพ้ฝรั่ง ยังไปมีเรื่องกับสยามเข้าอีก” แล้วยาแม่ก็ลุกขึ้นเดินมาพูดกับยอดเบาๆว่า
“คุณพระก็ควรจะโดนฉันเอ็ดตะโรเหมือนกัน นี่กระไรนางฟ้าเมืองหลวงพระบาง ชื่อเสียงร่ำลือมาถึงไลเจากลับแต่งตัวเป็นผู้ชายสะพายปืนมาด้วยมันไม่งาม” ว่าแล้วก็จูงมือหล่อนมานั่งใกล้ๆ
“แม่คำแก้วฉันเป็นคนมีกรรมมีลูกกี่คนก็เป็นผู้ชาย เธอมาเป็นลูกสาวฉันระหว่างที่อยู่ในเมืองไลเจานี้ก่อน เดี๋ยวฉันจะให้เด็กๆมันไปขัดสีฉวีวรรณหาของดีๆให้แม่กิน จะได้มีน้ำมีนวลเหมือนเดิม คุณพระอย่าปฏิเสธฉันล่ะฉันรับรองความปลอดภัย ไม่มีโจรหน้าไหนกล้าเข้ามาหรอก”
เมื่อพวกผู้หญิงออกไปหมดแล้ว ก็เป็นโอกาสที่จะต้องต่อรอง
“คำฮุมเมื่อเจ้าตกลงว่าจะร่วมมือกับสยาม เจ้าต้องปล่อยเชลยที่เจ้าเก็บไว้” ยอดหมายถึงหญิงลาวหลายสิบชีวิต
“กระผมจะปล่อยให้ทันทีขอรับ”
“ส่วนตราแผ่นดินของเจ้าหลวงอุ่นคำหายสูญไป มีพยานเห็นว่าอยู่กับตัวเจ้าจริงหรือไม่”
คำฮุมหันไปพูดภาษาไทยขาวกับท้าวไล แกก็พยักหน้าและเปิดหีบที่วางอยู่ข้างๆเผยให้เห็นตราแผ่นดินรูปเต่าสลักอักษรจีนบนงาช้าง แล้วส่งคืนให้กับยอด
“เรื่องที่สาม เจ้าใช้พวกฮ่อธงแดงปล้นหลวงพระบาง โจรเหล่านี้ท่านแม่ทัพถือว่าเป็นผู้ร้ายที่ต้องจับลงโทษ ขอให้ส่งตัวมาให้เราชำระความเสียแต่โดยดี”
ท้าวไลพูดอะไรกับคำฮุมพักนึงก่อนที่มันจะแปลว่า
“พวกธงแดงมีหัวหน้าชื่อเล่าเต็กเช็ง พวกนี้ถือว่าร้ายที่สุดรับจ้างทำทุกอย่าง แต่คนพวกนี้หนีเข้าเมืองจีนหมดแล้วขอรับ เพราะของที่ปล้นมาได้ไม่คุ้ม”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่มีพวกมันซุกซ่อนอยู่ใกล้ๆเมืองไล” ยอดทุบโต๊ะจ้องตาคำฮุมเพื่อค้นความจริง
“ไม่มีแน่นอนคุณพระ” คำฮุมยังมีสีหน้าเป็นปกติ
“คนที่เราอยากได้ตัวที่สุดคือฮ่อหนวดเหลืองชื่อนิโคลองเป็นคนฝรั่งเศสเห็นว่าสนิทกับเจ้าไม่ใช่หรือ”
คำฮุม โค้งคำนับยอดอย่างนอบน้อมอีกครั้ง แล้วว่า
“นิโคลองเป็นทหารหนีทัพ เที่ยวรับจ้าง จี้ปล้นจนมีสมบัติพอสมควรบัดนี้ ข่าวทหารฝรั่งเศสจะมาไลเจามันก็ร้อนใจ หนีหลบเข้าไปในแดนญวนแล้วขอรับ ข้าเสียใจจริงๆ สำหรับเรื่องที่ทำให้คุณพระขุ่นเคืองใจ” มันรีบเปลี่ยนเรื่องโดยนำแผนที่เมืองไลเจามากางบนโต๊ะ
“ตำบลป่าตันเป็นหน้าด่านของเรา ไม่ควรให้ฝรั่งเศสเข้ามา ที่นี่ชาวไลทำค่ายคุมสองฝั่งท่าข้าม เราขุดสนามเพลาะ ฝังขวาก ช่วยกันยิงประสานได้ทั้งสองฟาก เราสืบมาว่าทหารฝรั่งเศส อาจใช้เรือกลไฟเข้ามาได้ถึงจุดนี้แล้วก็จะติดแก่ง จากนั้นถึงขึ้นบกเดินเข้าตีเมืองไล”
ส่วนในเมืองนี้ ท่านพ่อมีทหารอีกสองร้อยประจำริมน้ำ บนเขาหลังเมืองที่ท่านเห็นกระผมมีปืนใหญ่อยู่กระบอกหนึ่ง สามารถยิงคุ้มกันเป็นมุมกว้าง”
ยอดพิจารณาแผนการเตรียมของคำฮุมแล้วเอะใจ
‘นี่มันเหมือนเตรียมรบมากกว่าที่จะรอพบข้าหลวงไทยนี่หว่า’
“เราไว้ใจไม่ได้คุณพระ” คำฮุมมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที “เราได้ข่าวฝรั่งเศสเตรียมกำลังถึง สามพันคนอยู่ที่เมืองเลากาย”
“เฮ้ย ใครเป็นคนให้ข่าวเจ้า” ในใจยอดคิดว่าเป็นนิโคลอง คำฮุมดูเหมือนจะจนมุมแล้วพูดเบาๆว่า
“มีอะไรบางอย่างที่คุณพระยังไม่ทราบ ไอ้คำสาม ไปตามพวกนั้นเข้ามาซิ”
นายทหารฝ่ายไทยจับต้นชนปลายไม่ถูก จริงอยู่เมืองไลทำตัวเป็นโจร ฝรั่งมันก็อยากปราบแต่เหตุไฉนใช้กำลังมากมายราวกับจะทำสงครามใหญ่
ทันใดนั้นปริศนาก็ถูกไข มีชายหนุ่มสี่ห้าคนในชุดเสื้อคลุมยาวทหารญวนมีดาบเล่มใหญ่เหน็บเอวมา เดินเข้ามาในห้องแล้วก็โค้งคำนับยอดกับแสนหาญ
“นี่คือนายหมวดเหงียน อดีตองครักษ์ของพระจักรพรรดิที่เมืองเว้ คนเหล่านี้บ้างเคยเป็นทหาร
บ้างเป็นแค่ชาวบ้านที่รักชาติจับอาวุธขึ้นต่อต้านฝรั่งเศส เรียกง่ายๆว่ามีพวกกู้ชาติเช่นนี้กระจายอยู่ในตอนเหนือของเมืองญวนและในเขตของเรา”
“ใครเป็นนายเจ้า” ยอดถามเหงียนถึงความเป็นไปในเมืองเว้
“ทั้งหมดฟังคำสั่งจากท่านผู้สำเร็จราชการ” นายเหงียนยังระบายความโกรธให้ยอดฟังอีกอย่างยืดยาว คำฮุมสรุปให้ว่า
“ในระหว่างที่สยามมัวแต่ปราบโจรฮ่อยู่นั้น เมืองญวนได้เสียทีกับฝรั่งเศส จักรพรรดิองค์ใหม่เป็นเพียงเด็กเล็กๆที่ฝรั่งเศสเห็นว่าจะขู่ทำอะไรก็ได้ นับเป็นที่เจ็บแค้นแก่ชาวญวนกันทั้งประเทศ ท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเคยเป็นแม่ทัพออกรบกับฝรั่งทนไม่ไหวจึงพาพระจักรพรรดิหนีเข้าป่า ตั้งกองโจรหวังเอาบ้านเมืองคืน” ยอดตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยินมา
“สุดท้ายพระจักรพรรดิโดนจับตัวกลับไป พวกกู้ชาติก็เริ่มมาหลบที่เมืองไลเจา เราเป็นพันธมิตรที่ดีกับญวนมานาน ขัดขวางฝรั่งเศสในสงครามหลายครั้ง”
“คุณพระขอรับ ท่านผู้สำเร็จราชการก็รักใคร่กับท่านพ่อ นับถือเป็นเจ้านายกัน” คำสามอ้อมแอ้ม
“ฉิบหายแหละ เอ็งอย่าตอบนะว่าผู้สำเร็จราชการเมืองญวนแอบอยู่ที่นี่”
“ก็เคยอยู่ขอรับ บนคุ้มหลังนี้แหละ” เมื่อเห็นยอดแข้งขาหมดแรงนั่นแปะลงกับเก้าอี้ ก็ขำ “คุณพระอย่ากังวลเลย ท่านอยู่ในที่ลี้ลับที่ใดที่หนึ่งระหว่างชายแดนลาวกับเวียดนาม แต่ก่อนไปท่านยังสั่งมาว่าสยามเป็นมิตรสุดท้ายที่ท่านพ่อจะหาได้”
“เหงียน เจ้ามีคนอยู่เท่าไหร่สำหรับรับฝรั่งสามพันคน”
“มีไม่ถึงร้อยหรอกขอรับ แต่คุณพระอย่ากังวลไปเลยคนสามพันจริงๆแล้วประกอบด้วยกุลีขนเสบียงชาวญวนสักครึ่ง พวกมันใช้ทหารญวนเป็นส่วนใหญ่ ฝรั่งมีไม่กี่ร้อย แล้วยังต้องต้อนวัวควายหลายร้อยตัวมาเป็นเสบียง พวกมันต้องกิน ขนมปังและเนื้อสดไม่งั้นมันยิงปืนไม่ไหว”
“เจ้าเหงียนเขาอยากช่วยคุณพระรบกับฝรั่งขอรับถึงจะมีคนไม่มาก” เหงียนหันไปขอคำสามช่วยแปล “เขาว่าสยามยังไม่เคยเป็นเมืองขึ้นเลยยังไม่รู้ซึ้ง มันก็เหมือนเป็นขี้ข้าฝรั่ง มันบังคับองค์จักรพรรดิออกกฎหมายชั่วๆ อย่างเช่นยอมให้ฝรั่งซื้อที่ดินทีละนับร้อยไร่ได้เสรี แล้วเอาพวกเราไปเป็นกุลี”
ปัญหาของยอดคือสยามไม่ควรมีพวกญวนมาหลบ มันจะเหมือนชักศึกเข้าบ้านให้ฝรั่งอ้างเอาได้
“สำหรับเหงียนอย่าได้แสดงตนเป็นพวกกู้ชาติ อย่าเข้าร่วมรบ เรามานี่เพียงเพื่อเข้าพบข้าหลวงไทยแล้วยืนยันราชอาณาเขตสยามเท่านั้น เจ้าต้องให้สัญญากับข้า” ยอดยื่นคำขาด
“พวกเราจะยอมท่านสักครั้งหนึ่ง” เหงียนตกลงหลังจากปลุกปลอบกันนาน
“กระผมขอเชิญคุณพระขึ้นไปดูคลังกระสุนดินดำบนเขา” คำฮุมดูมีเลศนัย
“มีอะไรเป็นพิเศษหรือคำฮุม”
“ในเมื่อไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว กระสุนดินดำของเมืองไลเจา กระผมไปขอยืมมันมาจากท่านผู้ว่ายูนานท่านก็ให้ปืนและปืนใหญ่มาไว้ด้วย”
“มีทหารจีนมาด้วยรึเปล่า” ยอดแทบจะมุดดินหนีเมื่อคำฮุมพยักหน้าแทนคำตอบ
ที่บนเขายอดมองปราดเดียว ก็ร้องลั่น
“เฮ้ยนั่นมันปืนอาร์มสตรองของฉัน” พวกไลเจายิ้มเขิน “เห็นวางทิ้งไว้ก็เลยยืมมาขอรับ”
ที่หน้าตึกดิน มีทหารจีนไว้เปียยาวร่วม 10 คนดูแลอย่างเข้มแข็ง ยอดตรวจภายในคลังพบแต่ดินดำปืนแก๊ปเอ็นฟิลด์ และปืนใหญ่ขานกยางลำกล้อง 1 นิ้วโบร่ำโบราณ ซึ่งนิยมใช้กันในหมู่ทหารจีนและญวน
‘ไอ้ยอดเอ๋ย จะต้องประจันหน้าทหารฝรั่ง ร่วมกับโจรฮ่อ ทหารจีนแล้วยังพวกกู้ชาติญวนเข้าไปอีก’
“เจ้าคิดว่าเราพอมีเวลาสักกี่วันก่อนฝรั่งมาถึง” ยอดต้องการเวลาที่จะไปตรวจด่านหน้า
“อย่างน้อย 10 วันขอรับ” ทั้งหมดชวนกันเดินตรวจตราโดยรอบเมืองจนเย็นแล้วจึงกลับคุ้มหลวง
“คุณพระขอรับ กระผมมีเรื่องจะขอจากคุณพระบ้าง” คำฮุมหันมากระซิบเมื่ออยู่ตามลำพังกับยอด
“ว่ามาซิ ถ้าไม่เกินอำนาจของฉัน”
“ถ้าเมืองไลเจาปลอดภัยอยู่กับสยามแล้ว ครอบครัวกระผมขออะไรสักสามอย่าง”
“นี่เจ้าคิดจะต่อรองอะไรหรือ” ยอดชักเอะใจ
“ลองฟังก่อนเถอะขอรับ กระผมขอเป็นนายภาษีฝิ่นลิ้นกระบือ ที่พ่อค้าจีนขนผ่านแดนเมืองไลทุกปี กระผมจะมีรายได้ราวหนึ่งแสนรูปี”
ยอดพยักหน้าให้พูดต่อ ใจนั้นรู้ว่าเจ้านี่ต้องการรักษาอิทธิพลเอาไว้เช่นเดิม
“เรื่องที่สอง กระผมรู้ว่าสยามไม่ต้องการให้ไอ้คำฮุมเป็นเจ้าเมืองคนต่อไป กระผมขอให้ตั้งน้องชายให้เป็นแทน กระผมจะช่วยเรื่องทหารของเราดูแลชายแดนให้สยามเอง”
“ดูเหมือนเจ้าจะแกล้งถอยมาคุมหลังฉากต่างหากละ”
คำฮุมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไม่ใช่หรอกขอรับ กระผมอยากทำการค้าขาย ใจน่ะเบื่อแล้วเรื่องสงคราม กระผมฝันที่จะมีคาราวานค้าใบชาจีนจากยูนานซึ่งถือเป็นชาที่ดีที่สุด ถ้าได้ผูกขาดขายให้สยามได้ จะยิ่งดี”
“ฉันรับปากจะพูดกับท่านแม่ทัพให้”
ยอดเล่าข้อเสนอนี้ให้แสนหาญฟังเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“ฉันว่าบางอย่างก็พอรับได้นะแสนหาญ แต่อดระแวงไม่ได้ว่าในวันหน้าเกิดพวกฝรั่งเศสเสนอให้เงื่อนไขที่เหนือกว่า มันมิหันปืนใส่พวกเราหรือ”
ที่คุ้มหลวงดูคึกคักผิดจากเมื่อเช้า ที่นอกชานใหญ่มีสำรับกับข้าวเพื่อเลี้ยงต้อนรับยอด แต่ที่สำคัญมีหญิงลาวหลายสิบคนเกล้ามวยผมนุ่งห่มซิ่นรวมทั้งยาแม่ไท้ถายและคำแก้วนั่งเด่นอยู่กลางวง
“ยาแม่ให้ปล่อยคนของเราหมดแล้วเจ้าค่ะ” พวกสาวๆต่างยกมือไหว้ขอบอกขอบใจยอด
“ขอบใจแม่หญิงทั้งสองนี่เถอะ” แต่ละคนบ่นอยากกลับบ้านกันทั้งนั้น ยอดจึงว่า
“อีกสัก 5 วันฉันจะให้ควานช้างเมืองพิชัยกับทหารลาวไปส่ง พ้นเคราะห์กันเสียทีนะ”
คำแก้วรีบจูงมือยอดตรงไปยังเรือนใหญ่ที่อยู่หลังคุ้มหลวง “ยาแม่ยกเรือนนี้ให้เราอยู่กันสองคน ไปอาบน้ำผลัดผ้าเถิดเจ้าค่ะจะได้มากินข้าวกัน”
อีก 5 วันถัดมา ยอดและคำฮุมต่างมาตรวจด่านหน้าที่ชาวไลขุดสนามเพลาะริมน้ำนาฝั่งตะวันออก
“พวกญวนช่วยแนะเราไว้เยอะขอรับ ที่นี่เรียกว่าเมืองป่าตัน” คำฮุมชี้ไปฝั่งตรงข้าม
“เยื้องกันนั้นเราเรียกค่ายเชียงเหนือคอยยิงประสานกับค่ายแรก”
“ศาลเจ้าบนสันเนินนั้นมองเห็นสองค่ายได้ชัดเจนดี เราจะใช้เป็นจุดสังเกตการณ์” ยอดเสนอ
“เป็นศาลเก่าแก่ชื่อ ศาลบ้านม้าฟังง่ายขอรับ”
“คุณยอดขอรับ ชื่อมันเข้าท่ามาก ถ้าเปลี่ยนเป็นเมียฟังง่ายก็คงจะดี” ไอ้น้อมแอบเอามือมาสะกิดเอว
“ก่อนเอ็งจะพูด หันไปดูแม่หญิงเขาเสียก่อนว่าเขาเชื่อฟังข้าจริงหรือ” ทุกคนหันไปมองหน้าคำแก้ว เห็นค้อนหน้าคว่ำก็หัวเราะกันครืน
“โอ๊ยเจ็บ แม่คุณปืนกระบอกนี้ไม่คืนพวกเมืองไลเขาไปเสียที” ยอดโดนแม่หญิงใช้พานท้ายปืนกระทุ้งสีข้างเข้าให้
“ฉันชอบของฉัน คืนให้โง่” หล่อนชูสายกระสุนใหม่มีลูกปัสตันเต็มกระเป๋า
“ตามสันเขานั้นฝรั่งเศสไม่ลอบมาเล่นงานเราข้างหลังหรอกหรือคำฮุม”
“เรามีคนขึ้นไปตรวจประจำ พวกมันเคยมาเมื่อปีก่อนแต่เรารู้ตัว เลยสันเขานั้นลงไปเป็นหุบเขาสลับนาขั้นบันได จากนั้นจะขึ้นเขาสูงที่สุดในเวียดนามภาคเหนือเดินทางลำบากมากขอรับ บางปีมีหิมะตกจนพวกเดินทางแข็งตาย” คำฮุมเองก็มีสีหน้าขยาด
“สันเขาบางช่วงก็ไม่สูงนัก ไม่น่าเกิน 1,000 เมตร เรายังมีเวลาฉันจะลองขึ้นไปสำรวจฝั่งโน้นดู”
ปลายทวีปที่สอง
“อุ๊ยตาย ข้างล่างสวยเหลือเกินเจ้าค่ะ”
จากยอดสันเขา แม้แต่ทหารกรำศึกก็อดจะเห็นด้วยกับคำแก้วไม่ได้ ในหุบเขาข้างล่างนั้นมีนาขั้นบันไดลดหลั่นไปตามเนินเขาหลายสิบลูก นาที่ถูกทิ้งร้างมีลำธารไหลรินผ่านหมู่หินไปจนสุดลูกตา
“ในนรกก็ยังพอมีสวรรค์บนดินซ่อนอยู่นะขอรับ” แสนหาญแอบหรี่ตาให้ยอดลงไปสำรวจ ทั้งคู่ตกลงกันมาแล้วว่าจะแยกกันลาดตระเวนหาพวกฝรั่งเศส ชาวน่านจะไปสันเขาถัดขึ้นไปด้านซ้ายเพื่อลงไปในหุบเขาถัดไปที่คำฮุมยังส่ายหน้า
“อยากจะแลกกันไหมแสนหาญ” ยอดแกล้งถามแล้วรีบไสอีเอื้องให้พาคำแก้วเดินทางต่อโดยไม่รอคำตอบ
อีกสองชั่วโมงถัดมา ทั้งคู่ก็มานั่งอยู่บนโขดหินริมลำธารใสแจ๋วเอาเท้าแช่น้ำเล่น ไม่ต้องบอกทั้งคู่ก็นึกถึงคืนวันแห่งความสุขแช่น้ำเล่นริมฝั่งโขง แม่หญิงเอาเท้าเล็กๆมาแกล้งเหยียบบนเท้าของเขาในน้ำ
“อย่าปล่อยเวลาดีๆแบบนี้ให้เสียไปเลยจ่ะ” เขาลุกขึ้นถอดเสื้อกับเข็มขัดปืนออก ทำท่าจะถอดกางเกงลงน้ำ “วานบอกอีเอื้องให้มันอยู่ยามให้ด้วยสิ อูย น้ำเย็นดีจัง”
“คุณพระดูฝูงผีเสื้อสิเจ้าคะ ยังไม่พ้นหน้าฝนเลยออกมากันใหญ่แล้ว” จริงของหล่อน อากาศเปิดยามบ่ายแสงแดดอุ่นๆเหนือลำธาร ฝูงผีเสื้อสารพัดสีโบยบินออกมาจากป่าทำให้ทั้งคู่ราวกับอยู่ที่ตีนเขาไกรราช
คำแก้วดูผีเสื้อเพลินพอหันมาที่ยอดก็อุทานเบาๆหน้าแดงก่ำ คุณพระตัวดีถอดกางเกงลงไปแช่น้ำเรียนร้อยแล้ว เขาชี้ไปที่หล่อนแล้วชี้มาที่แอ่งน้ำที่เขาแช่อยู่
“อีตาบ้าไม่อายผีสางเลย” แม่หญิงกระโดดแผล็วไปหลังก้อนหิน แล้วกลับมาเหลือแต่ผ้าซิ่นติดตัวไว้ หล่อนยังไม่ยอมลงน้ำแต่โดดเล่นไปมาตามลำธารด้วยนิสัยแก่นๆ ยอดเห็นได้ทีวิดน้ำใส่จนเปียก
“พี่เห็นเธอเป็นนางกินรีถอดปีกมาเล่นน้ำไปแล้ว” เขาลุกขึ้นอุ้มหล่อนลงมาแช่น้ำ “ชักเห็นใจอีตาพรานบุญ อยากเอาตาข่ายมาจับตัวตามตำนานซะแล้ว”
“นางฟ้าเมืองหลวงพระบางใช้ตาข่ายไม่ได้เจ้าค่ะ ฉันขอให้รักฉันเช่นนี้ก็ไม่ไปไหนแล้ว” แม้สายน้ำจะหนาวเหน็บแต่ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันนานเท่าที่จะนานได้
ยามเย็นทั้งคู่ไต่ไปตามคันนาเพื่อกลับไปอีกฝากหนึ่ง เสียงฟ้าครืนๆมาจากยอดเขาไกลๆ เมฆหมอกบางส่วนเริ่มปกคลุมเส้นทาง “หยุดทำไมเจ้าคะ” หล่อนเห็นยอดยืนนิ่งจ้องยอดเขาที่ถูกกลบด้วยเมฆฝน
“พลังพายุฝั่งนี้ทำให้พี่คิดถึงพายุที่ริมฝั่งแปซิฟิก พี่คงไม่มีบุญพาเธอข้ามเขาลูกนั้นลงไปชายทะเลเมืองญวนเพื่อให้สุดทั้งสองทวีปอเมริกาและเอเชีย” เขารู้สึกว่ามีจมูกโด่งๆมาหอมที่แก้ม
“เท่านี้ก็เกินพอแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องไปจนสุดที่เราเหยียบตรงนี้ก็ไม่มีใครในสยามมาจนถึงอยู่แล้ว”
“พี่ดีใจที่เรา มาใช้ชีวิตตามแบบที่ชอบ แต่จะดีใจที่สุดหากเรากลับไปอยู่หลวงพระบางด้วยกันจนแก่เฒ่า”


“ใครที่เดินเท้าข้ามช่องเขาสูงลิบอย่างนี้ได้น่าจะเป็นเทวดา” แสนหาญพากองตระเวนไต่ขึ้นมาถึงช่องเขาที่พวกไลเจาว่าสามารถเดินลงไปจนถึงแม่น้ำแดงและเมืองลาวกายได้
“นายทหารจะลงไปดูจริงๆน่ะหรือ” พวกไลเจาไม่ค่อยเต็มใจเอาเสียเลย “พวกที่เคยเดินตามช่องนี้ ข้ายืนยันว่ามันไม่ใช่เทวดาแน่ เพราะส่วนใหญ่ลงนรกไปแล้ว”
เมฆฝนเริ่มคลุมหุบเขาด้านนี้ แสนหาญสำรวจจนบ่ายแก่อากาศก็เย็นจัดลงอย่างรวดเร็ว ในหุบเหวข้างทางเดินเขายกมือขึ้นสวดมนต์แผ่เมตตากับสิ่งที่เห็น ‘ครูยอดคงไม่เจอกับอะไรแบบนี้หรอกนะ’
เดินพลางทางเห็นศพกุลี สิ้นชีวีล่วงลับดับสังขาร ที่เปื่อยเน่าทับถมกันนมนาน ทั้งทหารญวนด้วยมาช่วยตาย
เสื้อกางเกงทิ้งเกลื่อนเหมือนป่าช้า อนิจจาคิดไปก็ใจหาย
เดินสยองมองพลางเห็นร่างกาย เป็นที่หมายแห่งพระอนิจจัง
จากนิราศตังเกี๋ย
ของหลวงนรเนติบัญชากิจ หนึ่งในคณะข้าหลวงไทย ที่ส่งไปกับกองทัพฝรั่งเศส ในการปราบฮ่อ
วันปะทะ
ยอดได้ยินเสียงปืนสัญญาณหลังเที่ยงวันถัดมา “มันมาแล้ว” ไอ้น้อมตะโกนลั่น
“ให้ตายเถอะฝรั่งเศสมาด้วยเรือกลไฟนี่นา” ยอดส่องกล้องดูว่าเรือจะหยุดหรือไม่ เขาหวังจะได้เห็นธงช้างของข้าหลวงไทยจากฮานอยมาช่วยรั้งทหารฝรั่งได้
“ตูม”

เสียงปืนใหญ่ดังก้องแม่น้ำ ทำลายความหวังจนสิ้น กระสุนตกห่างแนวสนามเพลาะไปไม่ถึง 10 หลา ทหารชาวไลทั้งสองฝั่งยิงปืนเล็กยาว เสียงราวกับประทัดแตก เรือกลไฟลำที่สองลากจูงเรือพ่วง เสือกหัวเรือเข้าที่ริมฝั่ง ทหารมารีนฝรั่งเศสแบกธงสามสีโจนขึ้นบนชายหาด
“มันไม่สนใจธงช้างที่เราปักเป็นเขตแดนไว้เลย” แสนหาญอุทานลั่น
“เฮ้ย ข้าหลวงของเราไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน”
“แสนหาญ ฝรั่งเศสมันใช้เรือไฟท้องแบนกินน้ำตื้นมีปืนใหญ่ติดอยู่ที่กราบเรือด้วย”
“คุณพระ นั่นมันปืนอะไรขอรับ มีหลายลำกล้องยิงต่อเนื่องได้ไม่หยุดเลย” ชาวน่านไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน การยิงเร็วเช่นนี้ทำให้ทหารฝรั่งยึดหัวหาดได้ทั้งสองฝั่ง แต่ที่ยอดสนใจคือปืนเล็กยาวที่มันใช้ มิใช่ปืนลาเบลไร้ควัน แต่เป็นปืนกราส์บรรจุเดี่ยวแบบเก่า
‘ทหารฝรั่งมันฝึกมาดีจริงๆ ปืนจุทีละนัด แต่ดันเอากระสุนคีบไว้กับง่ามนิ้วอีกสามนัด’ จากเลนส์กล้องพวกฝรั่งสอดกระสุนนัดใหม่ยิงได้ต่อเนื่อง ไม่เสียเวลาหยิบจากกระเป๋าที่เอวทีละนัดเลย
“คนของคำฮุมยิงปืนไม่เป็นเลยขอรับ เอาปืนประทับกับสะโพกยิงไม่เล็งเลย” แสนหาญปลงอนิจจัง
ชาวไลยิงสกัดอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วโมง ก็ทิ้งสนามเพลาะวิ่งหนีกระจัดกระจาย โดยมีทหารญวนในบังคับฝรั่งเศส ติดปลายปืนตามไล่แทงไปข้างหลัง
“พวกเมืองไลค่ายฝั่งตรงข้ามวิ่งหนีแล้วขอรับ” ไอ้เวชกับไอ้จิต ไต่ขึ้นมาจากที่ซุ่มริมน้ำ
“ยังก่อน มีพวกบนเขายังยิงสู้กันอยู่” ยอดหันกล้องไปทางนั้นแล้วก็อุทานว่า “เจ้าเหงียนกับพวกกู้ชาติ ทำไมไม่เชื่อฟังแต่แอบมาร่วมรบด้วย”
“ใจมันสู้กว่าพวกไลเจามาก” แสนหาญสังเกตว่าเหงียนและพวกอยู่ในชุดเสื้อผ้าไลเจา ทหารฝรั่งต้อนทหารญวนของตนให้ติดดาบปลายปืนขาววับ ปีนเนินขึ้นไป ดวลกับดาบของเหงียน
“โธ่ น่าสังเวชเสียจริง พอตกเป็นเมืองขึ้นเขาก็บังคับให้ญวนมาฆ่ากันเอง” ยอดถึงกับทนดูไม่ได้
“ไอ้น้อมเก็บธงลง เรารีบเข้าเมืองไลเลยดีกว่า” ยอดทำวันทยหัตถ์คารวะแก่เหงียนและพาคำแก้ว มาถึงเมืองไลเมื่อย่ำค่ำ
“ดูเหมือนท้าวไลจะทราบข่าวร้ายแล้วขอรับ”ไอ้น้อมเดาไม่ผิดทหารไลจำแลงรีบออกตรวจสนาม เพลาะ พบแต่ชาวไลประจำอยู่ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ฉันให้ชาวเมืองทยอยหนีไปก่อน ส่วนพวกญวนที่เหลือให้หนีออกไปชายแดนจีน” เจ้าเมืองผู้เฒ่ามี สีหน้าลำบากใจ
“ถ้าเมืองไลแตกฉันกับครอบครัวก็คงขอหลบไปชายแดนจีนเช่นกัน”
“กระผมเห็นใจท่าน เพราะเห็นกับตาว่าฝรั่งเศสไม่เกรงใจที่เห็นธงช้าง” ยอดรู้สึกอับอาย
“กระผมคิดว่าคงมีเหตุที่ข้าหลวงไทยยังไม่มา มิฉะนั้นพวกฝรั่งคงไม่บุ่มบ่ามเช่นนี้”
กองหน้าของฝรั่งเศสมาถึงประมาณเที่ยงคืน เสียงทหารมารีนขึ้นฝั่งด้านซ้าย“ท้าวไลส่งคนไปเจรจากับฝรั่งเศสโดยอ้างว่าเมืองไลเจาเป็นเมืองในอาณัติของสยามขอรับ”
แสนหาญเข้ามารายงาน “แต่ไอ้พวกฮวนหนวดเหลือง มันว่าเมืองไลสมคบกับกบฏเจ้ากรุงเว้ ไว้จี้ปล้นพวกมัน คำสั่งของผู้สำเร็จราชการฮานอยบอกว่าให้ยึดเมืองให้จงได้”
“งั้นเราจะถ่วงมันให้นานที่สุด” คำสามเสนอก่อนขอออกไปตรวจแนวรับ “มันคงเข้าตีตอนฟ้าสาง

คุณอังเดร โนเอล คอสสิมี่ นักสะสมปืนชาวฝรั่งเศสที่ผู้เขียนรู้จัก ได้กรุณาส่งวีดีโอปืนกราส์ที่เขามีอยู่ให้เห็นการทำงานของระบบลูกเลื่อนรู่นแรกๆ นอกจากนี้เขายังแสดงการยิงต่อเนื่องด้วยการคีบกระสุนไว้ในง่ามนิ้วซึ่งเป็นวิธีการที่ทหารฝรั่งเศสใช้กันในยุคนั้น หมายเหตุ ปืนกระบอกนี้ถูกดัดแปลงเป็นปืนลูกซองไปแล้วแต่เจ้าของอุส่าห์เอากระสุนจริงมาแสดงพร้อมกันด้วย
ยอดไม่ได้ขัดคอ แต่สิ่งที่ตนเคยครั้งอยู่กับกองทัพฝรั่งคือ พวกมันสามารถรบตอนกลางคืนได้ พอถึงตีสี่สิ่งที่กังวลใจก็เป็นความจริง กองทัพฝรั่งเศสเข้าตีสนามเพลาะเต็มแรง
มีทหารอีกกองหนึ่งไปขึ้นด้านขวา ‘ชาวไลก็เหมือนชาวเอเชียทั่วไป ไม่ชอบรบในความมืด’
“พวกเขาอยากสู้เจ้าค่ะ แต่ยิงสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้นเอง ยาแม่ไล่ให้ฉันขึ้นมาอยู่กับคุณพระ ท่านว่าเห็นจะต้องหนีเสียแล้ว” คำแก้วเองก็อยากหนีไปก่อนสว่าง
“ปืนใหญ่ของคุณพระยังคลำเป้าไม่ถูกเลย” คำฮุมเข้ามาชวนยอดขึ้นไปคุมปืนใหญ่บนเขาท้ายเมืองก่อนที่ยอดจะคิดอะไรทัน ก็มีเสียงระเบิดสนั่นทั้งเมือง
“ตูม … ตูม ตูม”
“คุณพระช่วย นั่นมันตึกดินปืนที่จีนส่งมาช่วยนี่นา” เปลวเพลิงกระเด็นไปติดยังอาคารต่างๆทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว คำฮุมก็งงเป็นไก่ตาแตก
“เป็นไปได้ยังไง คนของกระผมก็มี ทหารจีนก็อยู่บนนั้น”
ที่รอบๆตึกดิน ยอดพบศพพวกที่เฝ้าตึกนอนตายเกลื่อน
“ดูนี่สิ มันไม่ได้ตายเองหรอก แต่ถูกมือดีย่องมาเชือดคอ” แสนหาญชวนให้ทุกคนดู
“เมืองของพ่อฉันมีไส้ศึกทำพินาศป่นปี้หมดแล้ว คุณพระจะทำอย่างไรกับปืนอาร์มสตรอง” คำฮุมถามเมื่อยอดยังเงียบอยู่จึงว่า “ข้าว่าจะขอเอาไปด้วย อย่างน้อยก็มีอาวุธหนักไว้บ้าง”
“เข็นทิ้งน้ำลงไปเลยอย่าให้ถูกยึด” ยอดไม่ยอม
ยอดแยกจากคำฮุมออกด้านหลังของเมือง ฟ้ากำลังสางสายฝนโปรยมาตลอดทางจนชุดผ้านวมและเสื้อขนสัตว์เปียกโชก
บนถนนสู่เมืองแถงเงาของคนบนหลังม้าขวางถนนอยู่ พอเห็นทหารไทยก็ร้องทักว่า “จะรีบไปไหนกันแม่คำแก้ว ทิ้งไอ้ดูปองท์มาอยู่กับข้าดีกว่า”
“ไอ้นิโคลอง” ยอดยืนตะลึงอยู่กับที่
“คลังแสงระเบิดน่ะฝีมือข้าเอง อย่างนี้ถึงจะหายแค้นที่แกมาระเบิดคลังเสบียงของข้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ที่แท้ก็เป็นแกที่เตรียมรับทหารฝรั่ง แกมันอยู่ไปก็รกโลกจริงๆ” ยอดปลดปืนชนัยเดอร์ลงจากบ่า แต่ช้าไปแล้ว นิโคลองชิงควบม้าเข้าหา ยิงด้วยปืนลูกโม่ทันที
“ปัง ปัง”
“โอ้ย” ยอดเหมือนถูกถีบที่หน้าอกล้มลง
ไอ้นิโคลองควบม้าเข้าใส่หมายยิงซ้ำ แต่คำแก้วโจนลงมาจากช้างขวางทางปืนไว้ หล่อนปล่อยกระสุนวินเชสเตอร์เข้าใส่ถี่ยิบ แม้ว่าความมืดจะเป็นอุปสรรค
“พวกเราช่วยกันยิงด้วย”
เสียงกระสุนที่สวนกลับมาทำให้นิโคลองต้องชะงัก มันรีบชักม้ากลับหายไปในความมืดพร้อมเสียงหัวเราะกังวาล
“พวกแกไม่มีทางได้กลับสยามหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

