ผมเดินออกมาจากบ้านก็พบกับอากาศยามเช้าเย็นสดชื่นและความเงียบสงบร่มรื่นใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ปกคุลมระเบียงบ้าน
บ้านหลังเล็กเชิงเขานี้เป็นบ้านที่พ่อผมซื้อไว้เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน มันแทบจะเป็นประเพณีปฏิบัติของครอบครัวเราไปแล้วที่จะมาอยู่ที่นี่กันอย่างสงบๆในวันหยุดยาวสิ้นปีที่ผู้คนต่างออกไปเฉลิมฉลองกันและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆก็คึกคักไปจนถึงแออัด
ขณะที่ผมกำลังทำอาหารเช้าให้ลูกๆที่กำลังเพิ่งจะตื่นกันออกมา ก็มีรถกระบะคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน คนที่เดินลงมาก็คือ ศรีไพร คนที่เข้ามาช่วยดูแลบ้านให้เป็นประจำตอนที่เราไม่ได้มากัน
หลังจากทักทายกัน ศรีไพรก็เอ่ยคำถามที่ทำให้ผมแปลกใจขึ้นมา
“คุณโทรไปสั่งใส้อั่วป้านางหรือครับ”
ผมงงกับคำถามนั้น ชื่อ”ป้านาง” เป็นชื่อคุ้นหูที่ผมไม่ได้ยินมาหลายปี ป้านางเป็นแม่ค้าใส้อั่วแสนอร่อยในตลาดพร้าวที่พ่อผมติตใจรสชาดและต้องไปซื้อทุกครั้งที่มาบ้านนี้
“เปล่านี่ ผมไม่ได้โทรไปครับ”
“ป้านางบอกว่าเมื่อวานมีคนโทรไปบอกว่าอยากจะสั่งใส้อั่ว บอกว่าโทรมาจากบ้านนี้ สัญญานไม่ค่อยดี แกโทรกลับก็ไม่ติด ก็เลยโทรมาที่หมู่บ้านแล้วฝากผมมาบอก” ศรีไพรบอกผมด้วยหน้าซื่อๆ
ผมขับรถออกไปยังตลาดพร้าวด้วยความสงสัย บวกกับกังวลว่าเมื่อมีคนสั่งให้ป้านางทำใส่อั่วแล้วถ้าไม่ไปเอาแกก็น่าจะแย่ และแน่นอนผมก็อยากลิ้มลองใส้อั่วแสนอร่อยที่ไม่ได้ทานมานานหลายปี
เมืองพร้าวยังคงสงบเงียบน่าอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้ผมจะไม่ได้แวะเวียนเข้ามาหลายปี ชีวิตยังคงไม่เร่งรีบ ผู้คนยังคงยิ้มแย้มและเป็นมิตร
ผมยังพอจำได้ว่าแผงของป้านางในตลาดอยู่ตรงไหน
“ป้านางมาขายตอนเช้ามืด ตอนนี้แกกลับไปบ้านแล้วละ มาอีกทีตอนเช้าพรุ่งนี้ซิ” แม่ค้าแผงข้างๆบอก เมื่อผมถามหาป้านาง
“ตามไปที่บ้านก็ได้ บ้านแกหาไม่ยากหรอก อยู่หน้าวัดป่าเสี้ยวพอดี รู้จักมั๊ย” พี่ชายท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆบอกผม และเมื่อเห็นหน้าที่สุดงงของผมแกก็เลยพูดต่อ
“ซ้อนท้ายรถเครื่องนี่ซิ เดี๋ยวผมไปส่งให้”
และผมก็ตามไปจนเจอป้านางที่บ้าน
“อ้อ ป้าจำได้ล่ะ เมื่อก่อนพ่อกับแม่เรา มาซื้อใส้อั่วอยู่บ่อยๆ” ป้านางยิ้มเมื่อเห็นหน้าผม
“เมื่อวานมีผู้ชายโทรมา บอกว่าจะสั่งใส้อั่วไปที่บ้านเรา แต่สัญญานไม่ชัด ป้าพยายามโทรกลับไปก็ไม่ติด เราโทรมาหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้โทร ผมเพิ่งมาถึงบ้านเมื่อคืนครับ”
“สงสัยพ่อเราโทรมาสั่งให้ละมั๊ง ป้าทำไว้ให้แล้ว”
“ครับป้า ดีเลย ผมมารับนี่ละครับ”
ใส้อั่วป้านาง ไม่เหมือนใส้อั่วที่อื่นๆที่อ้วนแน่นไปด้วยมันหมูเพราะใช้เครื่องอัด แต่เป็นใส้อั่วเส้นเล็กๆทำมือและรสชาดถึงเครื่องแบบดั้งเดิมจริงๆ ก็นับว่าโชคดีมากที่ได้มาเพราะคืนนั้นมีสหายกลุ่มเล็กๆแวะเข้ามาทานอาหารเย็นกับเราพอดี และทุกคนก็ชอบใส่อั่วของป้านางกันมาก
วันต่อมาครอบครัวเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบในบ้านหลังเล็กเชิงเขา นั่งอ่านหนังสือ,ยิงปืนลม,นอนเล่น, ทำกับข้าว, ไปเดินเล่นที่ชายป่าเชิงเขา ฯ มันช่างเป็นการดียิ่งนักที่เราได้ห่างออกมาจากชีวิตเมืองที่เร่งรีบสับสน
การที่ออกห่างมาบ้างก็ทำให้เรามองย้อนกลับไปเห็นว่า หลายๆอย่างที่เรามองว่าเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งใหญ่นั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าจะเป็นการก้มหน้าก้มตาอยู่กับ Facebook, ไปกินบุฟเฟ่ต์แล้วต้องพยายามกินให้มากให้คุ้ม ไปจนถึงการเดินเข้าไปซื้อของที่ไม่จำเป็นใน 7-11 ทุกครั้งที่เดินผ่าน ฯลฯ
ว่าก็ว่าเถอะ ครอบครัวผมใช้ชีวิตสงบแบบนี้มานานก่อนที่คำว่า “Slow Life” จะฮิตขึ้นมา
คืนนั้นหลังอาหารเย็น ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ผมออกมานั่งอยู่ที่ระเบียงหลังบ้านคนเดียว สายลมเอื่อยพัดพาเอาอากาศเย็นเข้ามาล้อมรอบตัวผม ทุกอย่างเงียบสงบ วันนี้ช่างเป็นวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยิ่งนัก
มันแทบจะเป็นประเพณีปฏิบัติของครอบครัวเราไปแล้วที่จะหลีกหนีความวุ่นวายมาอยู่ที่นี่กันอย่างสงบๆในวันหยุดยาวสิ้นปี เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้พักผ่อน, สงบใจ, ใช้เวลาที่มีคุณค่ากับคนที่เรารัก และคิดถึงคนที่เรารัก
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวกระจัดกระจาย แสงจากพระจันทร์แรมสี่ค่ำที่เพิ่งโผล่พ้นยอดไม้ส่องให้เห็นทิวเขาที่ปกคลุมด้วยป่าทึบเป็นเงาดำรางๆ
ผมพลันนึกถึงคำพูดที่ป้านางพูดกับผมก่อนที่ผมจะกลับ
“พ่อเราตายมากี่ปีแล้วนี่”
“6 ปีแล้วครับป้า ตั้งแต่พ่อตายนี่ผมก็ไม่ได้กินใส้อั่วฝีมือป้านางเลย”
สวัสดีปีใหม่ครับพ่อ ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างและวางรากฐานการใช้ชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้ให้กับผม, ขอบคุณสำหรับบ้านหลังน้อยเชิงเขาหลังนี้ และขอบคุณสำหรับใส้อั่วป้านาง หลานๆชอบมากครับ