Sunday, May 19, 2024
Homeความคิดและมุมมองนิยมไพรสมาคม และจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ในประเทศไทย

นิยมไพรสมาคม และจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ในประเทศไทย

-

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้หนังสือรายเดือนของ “นิยมไพรสมาคม” มาจากมิตรสหายหลายเล่มและกำลังทะยอยอ่านอย่างบรรจง (เพราะหนังสือเหล่านี้มีอายุ 65 ปี แทบจะกรอบเป็นผงอยู่แล้ว)  

ผมอ่านแล้วตื่นตะลึงมากครับ ผมเคยได้ยินได้อ่านเรื่องราวของคุณหมอบุญส่ง เลขะกุลมาบ้างว่าท่านสร้างสรรค์ส่งดีๆไว้มากมาย แต่ไม่เคยรับรู้เรื่องนิยมไพรสมาคมมากนัก  และดูเหมือนว่าเรื่องราวของสมาคมนี้ได้เลือนหายไปจากความรับรู้ของสังคมไทยแล้ว  เลยขอมาเล่าเรื่องหลายอย่างสู่กันฟังถึงประวัติศาสตร์สำคัญของการอนุรักษ์ในบ้านเราที่กำลังจะลืมเลือนไป

ในยุคก่อนปี พ.ศ. 2500 ประเทศไทยยังไม่รู้จักกับคำว่า “อนุรักษ์” ใดๆเลย (ในหนังสือก็ยังไม่มีคำนี้) ตอนนั้นใครอยากจับจองที่ตรงไหนก็ไปแจ้งที่อำเภอแล้วก็ลงมือถาง สัตว์ป่าทุกชนิด (ยกเว้นช้าง) ไม่มีกฎหมายอะไรคุ้มครอง ใครอยากล่าอะไรด้วยวิธีไหน จำนวนเท่าไหร่ก็ไม่จำกัด

หน่วยราชการ และรัฐบาลไม่เคยสนใจเรื่องนี้  ไม่เคยมีความคิดเห็นหรือแสดงท่าทีว่าจะพยายามหยุดการทำลายล้างนี้เลย 

ผมยังไม่แน่ใจว่า “นิยมไพรสมาคม” นั้นเริ่มต้นมาได้อย่างไร (ถ้าใครรู้ช่วยแบ่งปันชี้แนะด้วยครับ) แต่เห็นได้ชัดว่า นี่คือการรวมตัวกันของนักนิยมไพร ที่เข้าใจธรรมชาติและรักธรรมชาติอย่างแท้จริง พวกเขารวมตัวกันเพราะไม่ต้องการเห็นธรรมชาติที่เขารักถูกทำลายลงไปต่อหน้า โดยที่มีคุณหมอบุญส่ง เลขะกุลผู้เป็นเลขานุการ สมาคมเป็นฟันเฟืองหลักและผู้ใหญ่อีกมากมายหลายท่านร่วมงานด้วย

ผมอ่านพบว่า นิยมไพรสมาคมทำหนังสือหลายฉบับถึงรัฐบาลเรียกร้องให้จริงจังกับการปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายที่ดิน, ออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และประกาศให้พื้นที่สำคัญทางธรรมชาติเป็นวนอุทยาน ฯ พร้อมๆกับที่พยายามเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรมชาติให้กับคนทั่วไปด้วยการออกหนังสือ, จัดบรรยาย,​ฉายภาพยนต์ ฯลฯ

พอได้อ่านบทความต่างๆในหนังสือนิยมไพร ผมก็ยิ่งทึ่งขึ้นไปอีกระดับ ในยุคนั้นที่ยังไม่มีคำว่า “อนุรักษ์”​ ไม่มีการศึกษาข้อมูลหรือวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าโดยรัฐเลย (ตอนนั้นกรมป่าไม้มุ่งเน้นการจัดการการทำไม้เป็นงานหลัก) นิยมไพรสมาคม น่าจะเป็นองค์กรแรกที่เริ่มทำเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวม จำแนกสัตว์ป่า,​นก, แมลง, หอย ฯ มาบันทึกและเผยแพร่ 

นอกจากนี้หนังสือเล่มเล็กๆนี้ยังมีบทความที่พาเที่ยวธรรมชาติให้คนหันมาสนใจธรรมชาติมากขึ้น, บทความให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และเรียกร้องให้มีการสงวนรักษาธรรมชาติที่ถูกต้อง ไปจนถึงการแปลบทความและหนังสือชั้นยอดเกี่ยวกับการอนุรักษ์จากต่างประเทศมาให้อ่านกัน

หลายปีหลังจากที่นิยมไพรสมาคมเรียกร้อง รัฐบาลในยุคนั้นก็เริ่มขยับตัว มีการร่างกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า, ประกาศเขตวนอุทยาน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ “การอนุรักษ์” ในบ้านเรา

น่าเสียดายว่า นิยมไพรสมาคม หยุดดำเนินการไปด้วยสาเหตุใดที่ผมก็ไม่อาจทราบได้

เมื่อได้อ่านหนังสือนิยมไพรหลายเล่มเข้า ผมก็เกิดความรู้สึกที่ปะปนกันหลายอย่างจนอยากจะมาบอกเล่าสู่กันฟังครับ

ความรู้สึกแรกคือทึ่งครับ นิยมไพรสมาคมในตอนนั้นคงจะรวบรวมเอาคนเก่ง, คนรักและเข้าใจธรรมชาติ และตั้งใจจริงมาไว้ด้วยกัน จึงสามารถนำเสนอแนวความคิดที่ล้ำสมัย สามารถชี้แนะแนวทางของการอนุรักษ์ได้ก่อนกาลเช่นนั้น

ความรู้สึกที่สอง ผมเข้าใจแล้วครับ ราชการ, รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ไม่เคยคิดทำนโยบายอะไรดีๆเกี่ยวกับธรรมชาติได้เอง เพราะเขาขาดทั้งวิสัยทัศน์ที่กว้างพอ, ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และขาดแรงจูงใจให้ผลักดันอะไรที่ต่างไปจากที่ทำอยู่เดิมๆ ดังนั้นจะทำอะไรดีๆให้เกินขึ้นได้ในประเทศนี้ คงต้องเกิดจากการเรียกร้องของประชาชนที่มีความรู้ความตั้งใจดีมารวมตัวกันแล้วหาทางเรียกร้องอย่างสร้างสรรค์

ความรู้สึกที่สามคือละเหี่ยใจครับ เมื่อเห็นสิ่งที่นิยมไพรสมาคมเคยทำในอดีตแล้วหันมามอง NGO สายอนุรักษ์ในบ้านเราตอนนี้ วิสัยทัศน์, ความเข้าใจในเชิงลึกและมุมกว้างของธรรมชาติ และความสามารถแตกต่างกันเหลือเกินครับ NGO สายอนุรักษ์ในปัจจุบันจึงไม่สามารถเรียกร้องหรือผลักดันในระดับนโยบาย ให้ออกหรือปรับเปลี่ยนกฎหมายหรือแนวทางปฏิบัติของรัฐเพื่อให้เกิดแนวทางอนุรักษ์ที่ถูกต้องได้ ส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่เพียงคอยต่อต้านระดับโครงการของรัฐที่มีผลเสียต่อธรรมชาติ

ความรู้สึกที่สี่ เสียดายครับ ที่แนวทางการอนุรักษ์ที่นิยมไพรสมาคมวางรูปแบบและแนวทางไว้อย่างถูกต้องด้วยความเข้าใจธรรมชาติที่เขามีอย่างลึกซึ้งและถูกใส่ไว้ในกฎหมายอนุรักษ์ฉบับแรกๆที่พวกเขาช่วยผลักดัน ได้ถูกบิดเบือนเปลี่ยนแปลงไปจนเสียทิศทางไปจนยากที่จะทำให้การอนุรักษ์ของประเทศนี้จะประสบความสำเร็จได้

แนวทางไหนหรือที่ผมพูดถึง? มันคือหลักการที่เป็นพื้นฐานที่สุดของการอนุรักษ์ครับ ลองอ่านข้อความนี้ดูแล้วอาจจะเข้าใจครับ

“การสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่หมายถึงการเก็บหรือสงวนรักษาไว้โดยไม่ใช้ แต่หมายถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฉลาด คือใช้ให้ดีที่สุด ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และให้ยืดเยื้อนานที่สุดเท่าที่จะนานได้” (1) 

จากบทความ การสงนรักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดย อาจารย์เจริญ บุญญวัฒน์

ในหนังสือนิยมไพร ปีที่ 1 ฉบับที่ 4 ปี 2501

ผมยังหวังว่าสักวันหนึ่งประเทศไทยเราจะมีองค์กรที่รวบรวมผู้คนที่มีความรู้กว้างขวาง, เข้าใจธรรมชาติอย่างถูกต้องและลึกซึ้ง และมีความตั้งใจดีที่จะอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติอย่างนิยมไพรสมาคม เกิดขึ้นมาอีกสักครั้ง และนั่นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยผลักดันให้ “การอนุรักษ์”​ ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเดินตกเหวไปในทิศทางที่มันกำลังเป็นอยู่ครับ

หมายเหตุ 

ผมเชื่อว่าข้อความนี้เป็นการแปลคำพูดของ Gifford Pinchot ผู้ที่เป็นผู้ก่อตั้งคนแรกของ U.S. Forest Service ที่เป็นคนสำคัญคนหนึ่งวางรากฐานการอนุรักษ์ของประเทศอเมริกา ที่สามารถฉลิกโฉมจากการทำลายล้างอย่างเลวร้ายมาเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุดประเทศหนึ่งในโลก  คุณหมอบุญส่ง เลขะกุล เคยเดินทางไปพบกับภรรยาของ Gifford Pinchot เพื่อสนทนาและขออนุญาตนำประวัติของสามีผู้ล่วงลับมาแปลและเผยแพร่ให้คนไทยได้อ่านกัน และนิยมไพรสมาคมก็ได้แปลและจัดพิมพ์ออกมา

ตาเกิ้น
ตาเกิ้นhttp://takern.wordpress.com
นักสำรวจ, นักเขียน และนักเล่าเรื่อง

Leave a Reply

LATEST POSTS

ปืนดีๆ หมาดุๆ และการระวังภัย

อยากจะเล่าเรื่องนี้เพื่อเตือนสติกัน มิจฉาชีพเดี๋ยวนี้มีทั่วไปหมดจริงๆ เมื่อวานมีผู้ชาย 2 คนมาจอดมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าบ้านผมตอนค่ำๆ พอดีผมกลับมาถึงบ้านเลยจอดรถถามว่ามาหาใคร คนนึงบอกว่ามาหาคุณผู้หญิง มาส่งข่าวว่าพ่อชื่อช่างสายัณห์ที่เคยทำงานให้ตายแล้ว เมื่อกี้บอกแม่บ้านที่นุ่งผ้าถุงแกกำลังเดินไปบอกอยู่ ผมเลยบอกว่าถอยไปห่างๆนะผมกำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านและหมาดุมาก สองคนเลยถอยไป ผมลงจากรถไปบอกว่าอีกที ไม่มีใครรู้จักช่างสายัณห์หรอก สองคนเลยรีบขี่มอเตอร์ไซค์ไป ผมสอบถามคนในบ้านแล้วบอกว่ามาถามหาคุณผู้ชาย พอบอกว่าไม่อยู่ก็ขอพบคุณผู้หญิง แม่บ้านคนที่นุ่งผ้าถุงก็บอกว่าไม่ได้ออกไป ดูแววแล้วคนร้ายแน่นอน ช่วง 10 วันที่ผ่านมานี้ผม ภรรยาและลูกชาย ไม่อยู่บ้าน มันคงมาดูลาดเลามาหลายวันแล้วว่าบ้านนี้คนน้อยมีแต่ผู้หญิงและคนแก่ ถ้าแม่บ้านหลงเชื่อปล่อยให้เข้าบ้านคงโดนจี้แน่ โชคดีที่มันลงมือในวันที่ผมกลับมาแล้ว นึกย้อนไป ผมมีการรับสถานการณ์ที่ไม่ดีเลย ช่วงหลายนาทีแรกไม่ได้ระแวงว่าอาจจะเป็นคนร้ายเพราะพ่อแม่ผมมีลูกน้องเก่าเยอะเรื่องที่มันกุขึ้นมาจึงพอจะมีเค้า แต่ยังดีที่ฉุกใจคิดทัน เมื่อวานผมอยู่นอกบ้านไม่มีปืนติดตัว ถ้าไม่มีหมาดุอยู่ในบ้านตอนเปิดประตูก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำ เมื่อวานพอดีญาติๆมาที่บ้าน...

กบต้มน้ำร้อน

เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการหลบอยู่ในห้องแอร์แล้วเปิดเครื่องกรองอากาศให้รอดไปวันๆครับ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วค่อยๆทวีความรุนแรงมาเรื่อยๆ จนหลายคนเริ่มเชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ แก้ไขไม่ได้ ต้องทนต้องปรับตัวกับมันไป ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะเหมือนกับกบที่อยู่ในหม้อที่น้ำค่อยๆร้อนขึ้นทีละน้อยจนสุกทั้งตัวกินได้

ข้าวแช่, ร้านค้าเล็กๆ และ เศรษฐศาสตร์ “ชั่วข้ามคืน”

ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดแสนอร่อยเจ้าประจำของผมที่เมืองประจวบ มีแผงขายข้าวแช่อยู่ คนขายเป็นคุณยายใจดี เราคุยกันทุกครั้งที่ผมแวะไป และก็สั่งข้าวแช่ของแกมากิน ครั้งนี้ก็เช่นกัน “เหลืออยู่แค่ 5 ชุด เหมาเลยมั๊ย” คุณยายถาม ครั้งนี้เรามากันหลายคนข้าวแช่ 5 ชุดจึงแทบจะแย่งกันกิน ข้าวแช่ของยาย ก็คล้ายๆกับข้าวแช่ที่หลายๆคนคุ้นเคยแถวเพชรบุรี ไม่ได้มีกับหลายอย่างประดิษประดอยแบบข้าวแช่ที่ขายกันแพงๆในเมืองกรุง เครื่องมีเพียง 2 อย่างคือลูกกระปิทอด กับปลาหวาน แต่อร่อยมากครับ ข้าวและน้ำข้าวแช่นั้นหอมมาก แกเคยเล่าให้ฟังว่าที่หอมอย่างนี้เพราะอบด้วยดอกชมนาดที่ออกดอกในช่วงหน้าแล้งอย่างนี้และต้องเก็บตอนเย็นจึงจะหอมที่สุด และยังคุยว่าข้าวแช่ของแกนั้นเคยได้รับรางวัลจากการประกวดด้วย อร่อยมาก ชุดหนึ่งไม่น้อยเลย แทบจะอิ่มได้หนึ่งมื้อ...

ของแท้ดั้งเดิม (Authenticity)

เริ่มมันเริ่มจากขณะที่เรากำลังเดินทางกลับจากแค้มป์ในทริปหนึ่ง ผู้การตู้น้องรักก็ชวนเราแวะกินข้าว “พี่ครับ แถวบ้านผมมีศูนย์อาหารเปิดใหม่ มีร้านดังๆมากมาย ขาหมูตรอกจุง, ข้าวหน้าไก่หกแยก ฯลฯ เราแวะกินกันมั๊ยครับ” เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะจุดประกายให้ผมเริ่มบทสนทนาที่คล้ายคนแก่เล่าเรื่องเก่า เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมมีร้านโจ๊กเจ้าประจำอยู่ร้านหนึ่ง อยู่หน้าโรงพยาบาลหัวเฉียว ใกล้โบ้เบ้ ผมได้กินโจ๊กร้านนี้มาตั้งแต่พ่อไปหาหมอที่นั่น นับย้อนหลังไปได้กว่า 20 ปี ร้านเป็นห้องแถวห้องเดียว อาเจ็กแกต้มโจ๊กขายหม้อเดียวในแต่ละวัน สายๆขายหมดก็เลิก บ้างวันผมมาสายก็ไม่ได้กิน ผู้คนที่แวะเวียนมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนในละแวกนั้น อาซ้อก็มาช่วยทำช่วยขาย ผมแวะไปกินโจ๊กทุกครั้งที่ไปแถวๆนั้น นอกจากโจ๊กของแกอร่อยมากแล้ว อาเจ็กก็เป็นกันเองมาก ต้มน้ำชาร้อนมาให้ผมจิบแก้เลี่ยนจากปาท่องโก๋ที่ผมข้ามถนนไปซื้อมา  เรานั่งคุยกันเสมอ ถามสารทุกข์สุกดิบกัน แกเคยเล่าให้ผมฟังว่าอยู่ย่านนี้มาตั้งแต่เกิด...

Most Popular

Discover more from ThailandOutdoor Netzine

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading