ผมเกิดมาในสายเลือดของคนภูเขา ตั้งแต่เล็กจนโตผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะถูกกับทะเลมากนัก ตอนที่ยังเป็นเด็กทุกครั้งที่ไปทะเล ผมจะมีอาการภูมิแพ้น้ำมูกไหลจนแทบจะทำอะไรไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการลงเล่นน้ำทะเลกลางแดดร้อนๆที่ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ไม่เหมือนป่าบนเขาที่อากาศเย็นสบาย
เมื่อเที่ยวป่ามากๆเข้า ผมก็พบกว่าผมหลงรักแม่น้ำ และสายน้ำเล็กในป่าดง การเดินทางที่ผมชื่นชอบที่สุดก็คือการเดินทางล่องไปตามสายน้ำพร้อมกับเพียงข้าวของที่จำเป็นในเรือแคนูแล้วพักแรมท่ามกลางความงดงามของสายน้ำ ในมุมสงบที่ห่างไกลจากความวุ่นวาย
ในขณะเดียวกัน ผมก็เคยเห็นวิถีของคนเล่น Surf และชื่นชมการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติโดยมีอุปกรณ์น้อยนิดเรียบง่ายของพวกเขามาก แต่หากมันเป็นวิถีที่แตกต่างและยากมากสำหรับคนภูเขาอย่างผมจะเข้าไปสัมผัสได้
ครั้งแรกที่ผมเห็น SUP (Stand Up Paddle) ผมรู้สึกดูแคลนมันว่าเป็นของเล่นคนเมือง (City Boy’s Toy) ที่เอาไว้พายเล่นๆ เท่ๆ วนไปวนมาอวดกันแล้วก็กลับมาคืนที่เดิมไม่ได้เดินทางไปไหน สาเหตุหนึ่งของการดูแคลนนั้นอาจจะมาจากการที่ผมเป็นคนที่การทรงตัวแย่มาก เมื่อลองขึ้นไปยืนบน SUP ที่แรกเห็นนั้นได้เพียงไม่กี่วินาทีก็ร่วงลงน้ำไป
เมื่อสองปีที่แล้วผมได้ลอง “เล่น” SUP อีกครั้งเพราะเรามาเที่ยวพักผ่อนกันที่บ้านเล็กๆที่ชายหาดคลองวาฬ และมุมมองของผมกับ SUP ก็เปลี่ยนไป

ผมพบว่าร่างการของมนุษย์นั้นมหัศจรรย์มาก หลังจากที่พยายามยืนบนบอร์ดแล้วพายจนตกน้ำเป็นสิบครั้ง ผมก็พบว่าหากผมยืนนิ่งๆบนบอร์ด อาจจะเอาไม้พายช่วยค้ำก่อน เมื่อเริ่มแรกขาทั้งสองข้างของผมจะสั่นดิกๆเพราะพยายามทรงตัวอยู่บนบอร์ดที่แกว่งไปตามกระแสคลื่น สักพักหนึ่งก็จะเริ่มสั่งช้าลงจนยืนได้นิ่งสนิท เหมือนกับตอนที่เราให้ Gimbal ของกล้อง Auto Stabilize ตัวมันเอง หลังจากนั้นผมก็พบว่าผมสามารถทรงตัวอยู่บนบอร์ดได้ได้โดยอัตโนมัติแม้จะมีคลื่นซัดเข้าใส่ (แต่ไม่แรงจนเกินไปนะครับ ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น)

พอเลิกสั่น เลิกกังวลกับการตกน้ำกลางทะเลที่มองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ใต้นั้นบ้าง ผมก็เริ่มได้รู้สึกถึงสัมผัสของแดดอ่อนยามเช้า, สายลมเย็นที่พัดผ่านตัว, ความเงียบสงบของโลกรอบๆตัว และการยืนบนบอร์ดก็ทำให้มองเห็นได้กว้างจนเห็นความงดงามของโลกอีกใบบนชายฝั่งจากมุมมองที่แตกต่าง


ผมไม่ได้พายไปไหนไกล และไม่จำเป็นต้องไป บางครั้งก็นั่งลงชื่นชมกับความสงบเงียบที่มีแต่เสียงลมและเสียงคลื่น และเมื่อนอนลงบนบอร์ดผมก็ได้มองเห็นฟ้าที่เปิดโล่งทุกทิศทางและสัมผัสธรรมชาติอย่างที่เราไม่มีทางรู้สึกได้ในเมืองใหญ่

และนั่นก็เช่นกัน มันคือช่วงเวลาที่งดงามของการใช้ชีวิตกลางแจ้งที่ผมแสวงหา
แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ระยะทางใกล้ๆ แต่มันก็เพียงพอแล้วที่คนจากภูเขาจะได้รับรู้ความงดงามของท้องทะเลที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสมาก่อน ได้เห็นโลกในมุมมองของ “คนทะเล” ที่แตกต่างไป แม้จะเป็นเพียงชายขอบของวิถีของพวกเขา
และมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเรียนรู้ว่า ในโลกใบนี้ยังมีวิถีที่มุมมองที่แตกต่าง หากเพียงเราเปิดใจกว้างที่จะรับความแตกต่างนั้น มันก็อาจจะพาเราไปสู่สิ่งเดียวกันที่เราล้วนค้นหา
