คืนนี้เป็นแค้มป์ที่พิเศษที่สุดคืนหนึ่ง
ด้านหน้าของแค้มป์คือลำน้ำน่านไหลเอื่อยผ่านแก่งเจ็ดแควที่สวยงามยิ่งนักเมื่อกระทบกับแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่กำลังลับเหลี่ยมเขา
กลางคืนแค้มป์ของเราส่องสว่างไปด้วยแสงของพระจันทร์แรมหนึ่งค่ำดวงโต โอบกอดไปด้วยเทือกเขารอบทิศ ห่มด้วยดวงดาวเต็มท้องฟ้า กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมจากกองไฟ และขับกล่อมด้วยเสียงน้ำน่านที่ไหลแผ่วเบา
“จะไปก็รีบไปนะน้างบ ลุงแก่ขึ้นทุกปี เดี๋ยวจะไปไม่ไหว” ลุงเสริมนายท้ายของข้าพเจ้าพูดทุกครั้งที่เราได้ไปพายเรือล่องแม่น้ำน่านด้วยกัน (อ่านเรื่องราวตอนแรกของ “แคนูแค้มปิ้งลำนำน่าน” ได้ที่นี่ครับ)
โดยปรกติ เราจะพายเรือแคนูล่องแม่น้ำน่านด้วยกันจากบ้านส้านอำเภอเวียงสาจนถึงแก่งหลวงเป็นประจำทุกปี และทุกครั้งเราก็จะพูดถึงแม่น้ำน่านในช่วงจากแก่งหลวงลงไปถึงบ้านปากนายที่ลุงเสริมเคยไปหาปลาแต่พวกเราคนอื่นๆยังไม่เคยได้เห็น
ในหนังสือ “ปราโมทย์คลาสสิค” คุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ นักเขียนรุ่นบุกเบิกของอนุสาร อ.ส.ท. และวงการสารคดีท่องเที่ยวไทยเขียนเล่าไว้ในเรื่อง “ล่องแก่งแม่น้ำน่าน” ว่าท่านและคณะได้ล่องเรือยนต์จากจังหวัดน่านผ่านแก่งต่างๆมากมายไปจนถึงจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยใช้เวลาเดินทางถึง 4 วัน 3 คืน ในปี พ.ศ. 2504
พ.ศ. 2504 ! 59 ปีมาแล้ว!
หลังจากนั้นไม่นาน ได้มีการสร้างเขื่อนสิริกิติ์กั้นลำน้ำน่านในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ ลำน้ำและแก่งส่วนหนึ่งที่คุณปราโมทย์เคยบรรยายถึงความงดงามไว้จมหายลงไปใต้น้ำลึก ไม่มีใครแน่ใจว่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง
และสำหรับตัวข้าพเจ้าเองนั้นก็เป็นการออกไปค้นหาส่วนหนึ่งของตำนานปรัมปรา ที่พ่อเคยเล่าให้ฟังเพียงแต่ว่าปู่ของข้าพเจ้าเคยล่องเรือตามแม่น้ำน่านลงไปค้าขายในสมัยที่ยังไม่มีถนนไปถึงเมืองน่านได้
เราเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้จากตำแหน่งที่เคยเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางทุกครั้งที่ผ่านมา
“แก่งหลวง” เป็นแก่งใหญ่และอันตรายที่สุดในแม่น้ำน่าน ลุงเสริมบอกว่าเมื่อก่อนนี้เคยเอาเรือหาปลาผ่านลงไปได้ แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน น้ำป่าที่รุนแรงพัดพาเอาก้อนหินขนาดใหญ่ลงไปขวางกลางแก่งจนอันตรายเกินไปที่จะเอาเรือผ่าน
ในยุคก่อนในสมัยที่ผู้คนยังต้องอาศัยแม่น้ำสายนี้เป็นเส้นทางหลัก เมื่อมาถึงแก่งหลวงผู้โดยสารทุกคนจะต้องลงจากเรือเดินไปยังท้ายแก่ง ในขณะที่คนเรือใช้เชือกช่วยกันค่อยๆจูงเรือผ่านแก่งไป และมีผู้คนไม่น้อยที่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่แก่งนี้
พวกเรามีกัน 8 คน ใช้เรือแคนู 3 ลำเดินทางออกจากท้ายแก่งหลวง เรามีสัมภาระกันมาน้อยนิดเพราะไม่รู้ว่าช่วงไหนจะต้องแบกเรือแบกของข้ามแก่งกันบ้างและเพื่อให้เรือเบาที่สุดในการเดินทางที่เราไม่รู้เส้นทางมาก่อน อาหารก็เอามาเท่าที่จำเป็นโดยหวังจะพึ่งพาอาหารธรรมชาติจากลำน้ำน่าน
พายล่องจากแก่งหลวงมาไม่นาน เราก็พบเข้ากับแก่งแรก แก่งที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุดรองจากแก่งหลวง
ลุงเสริมลุกขึ้นยืนดูบนเรือหลายครั้ง
“ลงได้มั๊ยเนี่ยน้างบ”
ข้าพเจ้าล่องเรือกับลุงเสริมมานาน แต่ไม่เคยเห็นลุงเสริมกังวลเรื่องแก่งเท่านี้มาก่อนจึงลุกขึ้นดูบ้าง ด้วยความซุ่มซ่ามของผมเรือจึงโคลงเคลงจนผมเกรงว่าจะตกน้ำไปก่อนลงแก่ง
ยืนดูก็ไม่เห็นอะไรมากนัก แต่ด้วยความมั่นใจในฝีมือลุงเสริมและอยากให้ลุงเสริมมั่นใจ ก็เลยหันไปบอกว่า
“น่าจะได้นะ ไปกันเลย”
แก่งขามเทลงค่อนข้างชัน มีก้อนหินใหญ่ขวางทางสลับกันไปมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วคิดในใจว่า ถ้าพายกันเองคัดท้ายเองคงไม่รอดแน่ แต่ลุงเสริมก็คัดท้ายหลบได้โดยเรือไม่กระแทกก้อนหินแม้แต่ครั้งเดียว
เรือทั้งสามลำของเราผ่านแก่งขามมาได้อย่างปลอดภัย มีการชนหินกันบ้างแต่ไม่มีอะไรร้ายแรง ในฤดูที่น้ำแรงกว่านี้แก่งขามน่าจะเป็นแก่งที่อันตรายมาก
จากแก่งขามมาได้ไม่ไกล เราก็มาเจอแก่งเล็กๆที่ต่อกันเป็นช่วงยาวๆสวยงามมาก ทางขวาเป็นเขาสูงที่เป็นจุดสังเกตชื่อว่า “ผาแดง”
เราผ่าน “ผาลิงโยน” โตรกเขาแคบที่อยู่ไกลๆทางด้านซ้ายมือ ตำนานเล่าว่า ที่มาของชื่อมาจากช่องเขานั้นแคบจนลิงป่ากระโดดข้ามได้ ครั้งหน้าเราอาจจะได้เดินไปดูใกล้ๆว่ามีลิงอยู่จริงหรือไม่
แก่งห้วยปงเป็นอีกแก่งที่สวยงามมากและสร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเราอีกเล็กน้อย แต่เรายังคงไปกันต่อเพราะนั่นยังไม่ใช่จุดหมายของเราในวันนี้
ประมาณ 4 โมงเย็น เราก็มาถึงแก่งที่คุณปราโมทย์และลุงเสริมบรรยายไว้อย่างดงามจนข้าพเจ้าฝันอยากจะมาเห็นด้วยตาตัวเอง
“แก่งเจ็ดแคว” งดงามนัก ถูกห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขารอบทิศ หินบริเวณแก่งเป็นหินหลากสีฉูดฉาด น้ำน่านไหลวนซอกซอนไปรอบๆก้อนหินที่เรียงรายอยู่กลางน้ำ
ร่องรอยรอบๆบอกเราว่าแก่งที่งดงามนี้บางครั้งจะจมอยู่ใต้น้ำที่เอ่อล้นขึ้นมาจากเขื่อนที่อยู่ท้ายน้ำลงไปหลายสิบกิโลเมตร จะโผล่ขึ้นมาให้เห็นในฤดูแล้ง
ตกค่ำ ลมพัดเอื่อย คลายความร้อนจากแดดตอนกลางวันไปได้ อาหารเย็นของเราวันนี้ มีปลาสดที่ได้รับความกรุณาจากสายน้ำมาลาบด้วยเครื่องแกงในตำรับของชาวน่านที่หอมกลิ่นมะแขว่น จิ้มด้วยข้าวเหนียวจากนาของพี่จรเองที่เพิ่งหุงร้อนๆส่งกลิ่นหอมกรุ่น
“น้ำน่าน”ที่ใสราวกับน้ำกลั่นถูกส่งไปรอบวง “จิบแค่เจริญอาหาร” ลุงโชติบอก
อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเอนตัวลงนอนบนผืนผ้าพลาสติกที่ปูไว้บนหาดโล่ง หลังสัมผัสได้ถึงทรายนุ่มละมุนที่ยังคงอุ่นอยู่จากแสงแดดตอนกลางวัน เบื้องบนเต็มไปด้วยดาวคลุมท้องฟ้า
ประมาณสามทุ่ม พระจันทร์ดวงโตก็ขึ้นมาจากเขาด้านหลังแค้มป์ ส่องสว่างไปทั่วทั้งหุบเขา แสงจันทร์เป็นประกายระยิบบระยับเมื่อสะท้อนกับผิวน้ำน่านที่ตรงหน้า
ผมหันมองไปรอบตัว ตื่นเต้นกับความงามของธรรมชาติรอบตัวจนไม่อยากนอน ลุกขึ้นมานั่งชมอยู่สักพักก็ทนไม่ได้ต้องควานหาปากกาและสมุดบันทึกมาเขียนบรรยายถึงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ค่ำคืนนั้นผมก็หลับไปบนหาดทรายโล่ง
ตอนเช้าอากาศหนาวเหน็บจนต้องนอนห่อตัวในผ้าห่ม พอตีห้ากว่าๆก็ต้องลุกขึ้นมานั่งผิงไฟ
พอนั่งลองข้างกองไฟ “ยาเจริญอาหาร” ของพี่โชติก็ถูกยื่นมาให้ทันที พี่จิ่งกลับข้าวเหนียวที่นึ่งใหม่อยู่ในหวดควันฉุยหอมกรุ่น
ข้าพเจ้าเฝ้าดูการใช้ชีวิตของสหายชาวบ้านส้านกลุ่มนี้ทุกครั้งที่เราออกเดินทางร่วมกัน พวกเขามีชีวิตอย่างเรียบง่าย พึ่งพาธรรมชาติอย่างไม่ซับซ้อน มีข้าวของติดตัวแค่เท่าที่จำเป็น พวกเขาตื่นกันแต่เช้านั่งคุยนั่งหัวเราะในขณะที่ช่วยกันทำสิ่งต่างๆตระเตรียมสำหรับชีวิตในแต่ละวัน
ทุกอย่างดูง่ายและตรงไปตรงมา จนรู้สึกเหมือนว่าพวกเราคนเมืองเอาวิญญาณของอิสรภาพไปแลกสิ่งสมมุติปลอมๆ แล้วทำชีวิตให้ซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
ในวงสนทนานั้นลุงเสริมเล่าให้ฟังว่า พ่อของลุงเสริมเป็นคนรับจ้างพายเรือขนสินค้าขึ้นล่องแม่น้ำน่าน
ประมาณว่าเมื่อ 70 ปีและก่อนหน้านั้นยังไม่มีถนนมาถึงเมืองน่าน เส้นทางเดียวที่จะขนข้าวของเครื่องใช้และค้าขายกับเมืองอื่นๆก็คือการล่องเรือผ่านแม่น้ำน่านที่เรากำลังเดินทางอยู่นี้
พ่อของลุงเสริม, ปู่พี่จร และอีกหลายคนของบ้านส้านในยุคนั้นมีความชำนาญเรื่องแม่น้ำมากกว่าใคร พวกเขาทำอาชีพรับจ้างพายเรือและถ่อเรือขนของจากน่านไปขายที่อุตรดิตถ์หรือกระทั่งเมืองพิษณุโลก ขาขึ้นก็ขนของเช่นน้ำมันก๊าด, ปลาทูเค็ม, เกลือ ฯ ถ่อเรือทวนน้ำกลับขึ้นมาสู่เมืองน่าน เดินทางแต่ละครั้งใช้เวลานานนับเดือน
“แล้วเขาขนอะไรจากเมืองน่านลงไปขายละครับ” ข้าพเจ้าถาม
ทุกคนนิ่งเงียบไปสักพัก เรื่องราวเหล่านั้นบอกเล่ากันมานานจนแทบจะลืมเลือนไป และแล้วลุงโชติผู้เป็นน้องชายคนเล็กของลุงเสริมก็นึกได้
“จำได้แล้ว พ่อบอกว่าเขาขนหมูเป็นตัวๆลงไปขาย เขาเลี้ยงที่เมืองน่านนี่แหละ”
“เดี๋ยวนะ พ่อผมก็เคยเล่าว่า ย่าเลี้ยงหมูแล้วปู่ขนใส่เรือไปขายที่อุตรดิตถ์ ขากลับก็ขนของกลับมาขายที่เมืองน่าน คงไม่มีกี่คนหรอกที่ทำอย่างนี้ ”
น่าแปลกใจมากที่เรื่องราวปรัมปราของสองครอบครัวที่ไม่ได้รู้จักกันมากว่าหนึ่งชั่วอายุคนเช่นนี้จะมาบรรจบกันได้
บางทีการที่พวกเราได้ร่วมเดินทางด้วยกันอีกครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เราออกเดินทางกันต่อในราว 9 โมงเช้า จุดมุ่งหมายในวันนี้คือการค้นหา “แก่งพันวา” ที่ลุงเสริมบอกว่าสวยกว่าแก่งเจ็ดแควนี้เสียอีกและคุณปราโมทย์ก็เขียนบรรยายไว้ว่ามีความสวยงามพอๆกับอันตราย
พอผ่านแก่งเจ็ดแควมาได้ เราก็เจอแก่งที, หาดท่าข้าม และวังล่าน
วังล่านเป็นแม่น้ำส่วนที่น้ำลึกและไหลช้ามากได้ชื่อมาจากหอยกาบล่านที่เคยมีอยู่เยอะในบริเวณนี้ น้ำช่วงนี้นิ่งยาวหลายกิโลเมตรจนเราเริ่มใจไม่ดีว่าแก่งที่อยู่เลยจากนี้ไปอาจจะโดนน้ำท่วมจมหายไปหมดแล้วก็เป็นได้
“ลุงเสริม เสียงน้ำครับ มีแก่งข้างหน้า” ข้าพเจ้าหันไปบอก
แก่งนั้นมีชื่อว่าแก่งผาแป๊ะ สวยงามพอควรเลย กว้างเต็มแม่น้ำ มีช่องน้ำไหลให้เรือลงได้ทั้งซ้ายขวา
จากนั้นน้ำก็นิ่งอีก พายเรือมาอีกพักใหญ่ก็ยังไม่เริ่มไหลจนเริ่มใจไม่ดีอีกครั้งกลัวจะไม่ได้เห็นแก่งพันวา และเราก็เห็นเหมือนแผ่นดินมาขวางหน้าแม่น้ำอยู่ไกลๆ
“น้ำแห้งไปไม่ได้แล้วกระมัง”ลุงเสริมพูดขึ้นจนข้าพเจ้าใจหายวาบ ถ้าต้องแบกเรือจากตรงนี้ไกลแน่
“นั่นไงมีช่องทางขวา เป็นแก่งครับ”
แก่งนั้นคือแก่งพริก จุดเริ่มต้นของแก่งพันวา
พอผ่านแก่งพริกไปได้และเลี้ยวโค้ง เราก็มองเห็นแก่งที่ยาวลดหลั่นกันไปสุดสายตา นี่แหละครับ “แก่งพันวา”ใช่แล้ว แก่งสองพันเมตร
ในยามนี้น้ำน้อยมากจนแทบจะแห้งติดแก่งเราจึงสามารถค่อยๆพายเรือเลี้ยวลดไปตามแก่งชมความงามไปได้ตลอดทาง เราได้แต่จินตนาการว่าถ้าน้ำมากกว่านี้แก่งพันวาจะสวยงามและตื่นเต้นเร้าใจขนาดไหน
จากร่องรอยที่ตลิ่งสองข้าง เราพอจะเดาได้ว่าในฤดูน้ำหลากของปีที่น้ำมาก แก่งนี้จะจมอยู่ใต้น้ำหลายเมตรจนทำให้สภาพของแก่งเปลี่ยนไปจากที่คุณปราโมทย์บันทึกไว้เมื่อ 59 ปีก่อนเป็นอย่างมาก บางส่วนของแก่งเต็มไปด้วยทรายที่มาทับถม ต้นไม้ใหญ่สองข้างลำน้ำหายไปหมด แต่ก็นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายที่ปีนี้ความแห้งแล้งรุนแรงมากจนระดับน้ำในเขื่อนลดต่ำจึงทำเราได้เห็นแก่งนี้
แก่งห้วยเดื่อเป็นแก่งสุดท้ายที่เราได้เจอตรงท้ายแก่งพันวาพอดี จากนั้นเพียง 2-3 กิโลเมตรที่ปากห้วยเคียนเราก็เจอน้ำเอ่อของจริง
เราพายเรือไปบนน้ำที่นิ่งสนิทและกว้างขึ้นเรื่อยๆ พอหลังเที่ยงลมก็แรงมากจนเราพายต่อไม่ไหว
“โน่น เลี้ยวเข้าพักที่แพโน่นก่อน” ลุงเสริมตะโกนบอกเรืออีกสองลำ
แพเล็กๆนั้นช่วยให้เราหลบลมที่พัดกระหน่ำ ในแพมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ครบครันและดูเหมือนเจ้าของจะไม่อยู่
ขณะที่เรานั่งปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อดี เรือหางยาวลำหนึ่งก็วิ่งตัดน้ำมาแต่ไกล
“นั่นลุงหลี” ลุงโชติตะโกนพร้อมกับชี้ให้เราดู
“ลุงหลี”เป็นสหายเก่าแก่ของลุงเสริมที่ไม่ได้เจอกันมานานนับสิบปี เดิมเป็นคนเวียงสาแต่ย้ายมาอยู่ปากนายนานแล้วและตอนนี้ก็หนีความวุ่นวายของปากนายมาผูกแพอยู่คนเดียวตรงนี้ ปากห้วยปั๋ง
เราตัดสินใจค้างกันที่แพนี้หลังจากลุงหลีบอกว่าแพนี้เป็นของลูกชายแกเองแต่เจ้าตัวไม่อยู่และพื้นที่ชายน้ำจากนี้ไปจนถึงปากนายล้วนเป็นโคลนเลน ไม่น่าจะมีหาดให้เราแค้มป์ได้
น่าแปลกใจอีกครั้งว่าจุดที่เราพักวันนี้กลายเป็นจุดเดียวกับที่คณะของคุณปราโมทย์มาตั้งแค้มป์พักเมื่อ 59 ปีก่อนโดยที่เราไม่รู้มาก่อน เพียงแต่ธรรมชาติงดงามของแก่งปั๋งที่คุณปราโมทย์บรรยายไว้นั้นจมหายไปในน้ำแล้วจนหมดสิ้น
วันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางกันแต่เช้าเพราะลุงหลีเตือนว่าถ้าสาย ลมจะแรงเหมือนกับที่เราเจอเมื่อวาน
การเดินทางในวันนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป สองข้างทางเต็มไปด้วยร่องรอยความพินาศจากการเก็บกักน้ำของเขื่อน ที่เคยท่วมสูงจากนี้ไม่ต่ำกว่า 10 เมตร หรืออาจจะถึง 20 เมตร เมื่อน้ำลดต่ำลงเช่นนี้ทำให้ตอไม้ที่ถูกตัด “ล้างอ่าง” เมื่อหลายสิบปีก่อนโผล่ขึ้นมาให้เห็นว่าแต่ก่อนนั้นป่าที่นี่สมบูรณ์เพียงใด
คงจะไม่ถูกต้องนักที่เราจะเอาความรู้, ความเข้าใจ และสถานการณ์ปัจจุบันไปตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ในยุคที่ทุกอย่างแตกต่างไปจากวันนี้ และเขื่อนนี้ก็หล่อเลี้ยงผู้คนทั้งในชนบทและในเมืองใหญ่มาตลอดเวลาอันยาวนานแล้ว
แต่ในทางกลับกัน ก็คงไม่เหมาะสมที่จะเอาวิธีแก้ปัญหาที่ใช้เมื่อ 50ปีก่อนมาใช้ในปัจจุบันอีกทั้งๆที่เราได้เห็นและเข้าใจผลกระทบของมันเช่นนี้แล้ว
เรามาถึงหมู่บ้านปากนายหมู่บ้านหมู่บ้านชาวประมงริมอ่างเก็บน้ำกันตั้งแต่ก่อนเที่ยง ด้วยความที่เราปลีกวิเวกไปอยู่กลางป่ากันเสีย 3 วัน 2 คืน ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกเมื่อกลับมาสู่ชุมชนอีกครั้งแม้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ทุกคนดูจะเงียบไปด้วยความรู้สึกเดียวกันที่ไม่อยากให้การเดินทางครั้งนี้จบลง
เราเดินทางด้วยเรือแคนูจากแก่งหลวงมาถึงปากนายรวมระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร ถ้ารวมเส้นทางที่เราเคยเดินทางจากบ้านส้านมาถึงแก่งหลวงในครั้งก่อนๆ ก็จะเป็นเส้นทางยาว 90 กิโลเมตร แต่ก็ยังเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของระยะทางเดิมจากน่านถึงอุตรดิตถ์ และไม่ถึงหนึ่งในสามของเส้นทางไปถึงพิษณุโลก
การเดินทางครั้งนี้เป็นทั้งการเดินทางตามหาตำนานของการล่องแก่งแม่น้ำน่านในอดีต การเดินทางตามเรื่องเล่าของของบรรพบุรุษทั้งทางฝั่งของชาวบ้านส้านและของข้าพเจ้าที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกันโดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และเรื่องเหล่านี้กลายเป็นตำนานที่บอกเล่ากันเพียงในครอบครัว มีคนรู้น้อยลงทุกทีและก็คงจะถูกลืมเลือนไปในไม่ช้า
แม้จะดูน่าตื่นเต้นสำหรับคนยุคนี้ แต่การเดินทางของเราเทียบได้เพียงเศษเสี้ยวของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ในยุคก่อนที่บรรพบุรุษของเราล่องเรือสินค้าผ่านแก่งอันเชี่ยวกราก, ป่าดิบดงทึบ และภยันตรายสารพัดเพื่อหล่อเลี้ยงครอบครัวของพวกเขาให้สืบต่อมาเป็นเราได้ในวันนี้
แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นการเดินทางเพื่อเล่าขานตำนานของการล่องแก่งแม่น้ำน่านอีกสักครั้ง ก่อนที่มันจะเลือนหายไปตลอดกาล
หมายเหตุ: ถ้าคุณอยากไปพายเรือที่แม่น้ำน่านบ้าง ไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ สหายของผมชาวบ้านส้านมีเรือแคนูที่พร้อมจะพาคุณล่องแม่น้ำไปได้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ Facebook “แคนูแม่น้ำน่าน” ได้เลยครับ
ท้ายแก่งหลวง จุดเริ่มเดินทาง แก่งเจ็ดแคว แก่งเจ็ดแคว แก่งเจ็ดแคว ลุงโชติและลุงเสริม ปลามูตและปลาหมูแก่ง ยามเช้าที่เจ็ดแคว แก่งที แก่งพันวา พี่จิ่ง ปั้นในยามเย็นที่เจ็ดแคว ยามเย็นที่เจ็ดแคว ลุงโชติลาบปลา