รถไฟขบวนนั้นแล่นออกจากถ้ำที่มืดมิดแล้วออกมาจอดที่สถานีเล็กๆที่เป็นเหมือนหมู่บ้านกลางป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
ชาวบ้านยกถาดอาหารที่เต็มไปด้วยอาหารกินง่ายๆเช่นข้าวเหนียว, เนื้อเค็ม, ไก่ทอดมาเสนอขายให้กับผู้คนบนรถไฟ ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องราวของการเดินทาง ที่เต็มไปด้วยสีสันและสเน่ห์ของท้องถิ่น
เมื่อละสายตาจากความเป็นไปนั้นขึ้นไปมองป้ายสถานี ป้ายนั้นนั้นเขียนว่า “ขุนตาน”
ผมเก็บภาพความทรงจำนั้นไว้นานกว่าสามสิบปี มีผู้คนบอกเล่าว่าจากหมู่บ้านข้างทางรถไฟนั้นเราสามารถเดินป่าขึ้นสู่ดอยสูงที่เป็นเส้นแบ่งกั้นระหว่างเชียงใหม่และลำปาง ทุกครั้งที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ผมก็จะต้องตื่นมานั่งรอดูสถานีนี้พลางนึกว่าจะลงรถไฟที่นี่แล้วไปเดินป่าขึ้นดอย
แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะก้าวลงไปอย่างที่ตั้งใจไว้
“เรา ไปขุนตานกัน” ผมพูดโพล่งขึ้นมาในห้องประชุม ขณะที่เรากำลังคุยงาน
“มีอะไรพี่ ที่ขุนตาน” หลายเสียงถามแบบสนใจปนสงสัย
“ไม่รู้ แต่จะไป”
หลังจากนั้นน้องๆหลายคนที่ตัดสินใจร่วมทริปไปด้วยกันก็เริ่มไปค้นดูใน internet แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก หลายคนย้อนกลับมาถามผมอีกว่าที่ขุนตานมีอะไร และเราจะไปไหนกัน
คำตอบจากผมก็ยังเป็น “พี่ก็ไม่รู้ เราไปเจอเอาที่โน่นก็แล้วกัน”
รถไฟขบวนนั้นแล่นออกจากถ้ำที่มืดมิดแล้วออกมาจอดที่สถานีเล็กๆที่เป็นเหมือนหมู่บ้านกลางป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
ไม่มีชาวบ้านยกถาดอาหารข้าวเหนียว, เนื้อเค็ม, ไก่ทอดออกมาขาย สถานีเงียบสงัดและยังมืดสลัว เราแบกเป้ลงจากรถไฟลงมาปักหลักอยู่อย่างงงๆที่หน้าสถานี
หมู่บ้านเล็กๆข้างทางรถไฟนั้นยังคงความมีสเน่ห์ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อฟ้าเริ่มสางมีแสงขึ้นบ้างเราก็เริ่มเห็นผู้คนมากขึ้น รวมทั้งถาดข้าวเหนียวไก่ทอดที่ผมเห็นแล้วดีใจนักหนาว่ายังไม่สูญหาย

เส้นทางเดินป่าเส้นเล็กๆที่อยู่ตรงข้ามสถานีนั้นพาเราไต่ลัดเลาะขึ้นไปตามเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าเขียวขจี เป็นทางเดินที่ปรับไว้อย่างดี บางช่วงก็มีบันไดและมีราวจับ เดินทางป่าสลับทางถนนเพียง 1.5 กิโลเมตรเราก็มาถึงที่ทำการอุทยานฯขุนตาลได้ไม่ยากเย็น (อุทยานชื่อขุนตาล แต่สถานีรถไฟชื่อขุนตานนะครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิด)

เมื่อเข้าไปสอบถามเส้นทางกับเจ้าหน้าที่แล้วเราก็เริ่มวางแผนการเดินทางกันต่อ สรุปกันง่ายๆว่าเราจะไปนอนกันที่ ย.2 แล้วคิดอีกทีว่าจะไปเดินเที่ยวที่จุดชมวิว ย.4 หรือไม่
ต้องขอชมอย่างมากครับว่าเจ้าหน้าที่ของอุทยานนี้อัธยาศัยดีมาก ให้การต้อนรับและให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินเข้ามาเป็นอย่างดี

ก่อนการเดินทางครั้งนี้ผมตั้งใจจะไม่ค้นหาหรือวางแผนอะไรให้มากมายนัก ปล่อยให้สิ่งที่เราได้พบเห็นโดยไม่คาดหมายระหว่างทางเป็นรางวัลของการเดินทางไปโดยปริยาย
จากที่ทำการ เราเดินขึ้นไปตามถนนสลับกับทางป่าที่เป็นทางลัดเป็นช่วงๆ ประมาณ 1.5 กิโลเมตรก็ถึงบ้านและจุดชมวิวสุดท้ายของอุทยาน จากนั้นก็เลี้ยวขึ้นไปตามทางเดินป่าไปยัง ย.1
ตัวย่อ ย. นั้นมาจากจุดยุทธศาสตร์ มีตั้งแต่ ย.1 ไปจนถึง ย.4 ผมก็ไม่แน่ใจว่าตั้งชื่อมาตั้งแต่ยุคไหน โดยที่ ย.1นั้นเป็นพื้นที่ของรถไฟที่สร้างบ้านพักตั้งแต่ยุคก่อสร้างทางรถไฟ ย.2 เป็นสวนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ยุคที่มีการทำสัมปะทานไม้ก่อนที่จะประกาศพื้นที่อุทยาน ย.3 เป็นค่ายมิชชันนารีที่มีมาก่อนอุทยานเช่นกัน ส่วน ย.4 เป็นจุดสูงสุดของดอยขุนตาน
ระยะทางจากปลายถนนถึง ย.1 นั้นเป็นทางเดินสบายๆมีบันไดยาวแค่ไม่เกิน 500 เมตร ที่นี่มีบ้านพักของรถไฟหลายหลัง มีคนบอกว่าสามารถติดต่อเข้าพักได้โดยติดต่อที่สถานีขุนตาน
จากย.1 ไป ย.2 นั้นก็จะเป็นทางเทรลที่เดินเข้าไปในป่าที่เขียวทึบสวยงามและใต่ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นด้วย ประมาณ 1 กิโลเมตรพอได้เหนื่อยก็ถึงหน่วยป่าไม้ ย.2
ที่ย.2 นั้นมีบ้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังเล็กที่สงบร่มรื่นมีศาลาที่เคยเป็นที่ที่ท่านนั่งเขียนหนังสือ แต่ทุกอย่างก็พุพังไปแล้วตามกาลเวลา




จากย.2 หากเลี้ยวขึ้นเขาไปก็จะขึ้นไปสู่ลานกางเต๊นท์ดงสน
ลานกางเต๊นท์แห่งนี้ลงตัวมากครับ สงบสงัดอยู่ท่ามกลางดงสนที่ระดับความสูงร่วม 1,000เมตร มีห้องน้ำ และมีน้ำพอใช้ได้
มีลานกางเต๊นท์กลางป่าในอุทยานเพียงไม่กี่แห่งครับที่จะอนุญาตให้นักเดินทางเดินเข้าไปกางเต๊นท์ได้ด้วยตัวเอง และที่นี่ก็เป็นแห่งหนึ่งในนั้น
คืนนั้นเรากางเต๊นท์นอนฟังเสียงสนที่ถูกลมพัด, ชมดาวเต็มฟ้า โดยมีแสงไฟของเมืองและความวุ่นวายอยู่ไกลๆที่ปลายสายตา
วันรุ่งขึ้นเราเดินไปยังจุดชมวิว ย.4 จาก ย.2 เราเดิน 3 กิโลเมตรไปยัง ย.3 ทางเดินสบายๆครับ ไม่ได้ขึ้นชันอะไร
ย.3 นั้นเดิมเป็นบ้านมิชชันนารี่ที่มาสอนศาสนา ตอนนี้เป็นบ้านที่สามารถเข้าพักได้โดยติดต่อที่ ม.พายัพ คนส่วนใหญ่ที่มาขุนตาลมักจะพักที่นี่ แต่ผมว่า ย.2 สวยกว่ากินขาดครับ
จาก ย.3 อีกเพียง 1 กิโลเมตรก็จะถึงยอดดอยขุนตาลที่ ย.4 ความสูง 1,375 เมตร ทางอาจจะชันบ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ
เราเดินลงจากยอดดอยกันลงมาอย่างสบายๆ โดยสามารถกลับมาขึ้นรถไฟเที่ยวเย็นกลับกรุงเทพได้
“ก่อนมา ก้วยค้นดูแล้วไม่เห็นว่าดอยขุนตาลมีอะไรน่าสนใจเลย ไม่มีใครพูดถึงเลย แต่พอมาแล้วประทับใจมากเลยค่ะ” น้องร่วมคณะคนหนึ่งพูดกับผมขณะที่เรากำลังเดินลง
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้วางแผน ไม่ได้คาดหวังใดๆ ที่ทำให้ทุกอย่างที่พบเห็นดูสวยงาม
บางทีอาจจะเป็นเพราะเราปล่อยตาให้มองเห็นความงามรอบตัวที่ไม่ได้จัดไว้เป็น “จุดชมวิว มุมถ่าย Selfie” ปล่อยใจให้ได้สัมผัสของความงามของธรรมชาติอย่างที่มันเคยเป็นและยังคงอยู่ เราจึงได้พบเห็นและประทับใจกับความงดงามของป่าผืนเล็กๆและขุนเขาที่ไม่ได้โด่งดังแห่งนี้
ไม่แน่ใจว่าเหตุใดผมจึงใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะมาถึงยอดเขาแห่งนี้ แต่เมื่อได้มาแล้วผมอยากจะบอกว่านี่คือเส้นทางเดินป่าที่มีสเน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยที่ไม่ว่าจะเป็นมือเก่าหรือมือใหม่แค่ไหนก็สามารถไปสัมผัสได้โดยไม่ยากเย็น เพียงขึ้นรถไฟเย็นวันศุกร์ ลงรถไฟแล้วเดินแบกเป้ขึ้นเขาไปไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถจะไปนอนฟังเสียงสนท่ามกลางอากาศเย็นสบายบนความสูงหนึ่งพันเมตร แล้วกลับมาขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพไปทำงานทันเช้าวันจันทร์โดยไม่ต้องลางาน
หากขึ้นไปบนขุนตาน หรือยอดเขาไหนๆ ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยนะครับ ขนอะไรขึ้นไป เอาลงมาให้หมด พบเจอขยะที่ไหนแม้ไม่ใช่ของเราก็ช่วยกันเก็บให้สะอาด
เพียงเท่านี้เราก็จะมีที่เที่ยวดีๆกันอีกมากมายครับ
หากคุณเป็นนักเดินมือใหม่ ลองอ่านบทความ “มือใหม่เตรียมตัวเดินป่า” นะครับ จะได้เตรียมตัวได้พร้อม
[…] (ใครอยากอ่านเชิญที่นี่ครับ) […]