ทุกครั้งที่ผมนั่งดูภาพที่ถ่ายมาจากป่าเช่นภาพนี้ ผมจะรู้สึกเสียดายมากที่ไม่ว่าผมจะพยายามเพียงใด ภาพถ่ายก็ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่ผมได้รับในตอนนั้นออกมาได้
มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย เมื่อมีคนถามผมว่าทำไมผมถึงชอบเข้าป่า
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รู้จักกับคำคำหนึ่ง “Friluftsliv” จากภาษานอร์วีเจียน (อ่านว่า ฟรี-ลูฟ-ลิฟ) แปลว่า “ชีวิตท่ามกลางอากาศอิสระ”
Friluftsliv นี้เป็นปรัชญาความคิดที่ฝังรากลึกลงไปในวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคน Nordic (นอร์เวย์, สวีเดน, เดนมาร์ก) มันไม่ได้หมายถึงการออกไปพิชิตยอดเขาสูง, ไปวิ่งแข่งเพื่อชัยชนะ หรือกิจกรรมอะไร แต่หมายถึงการ “แค่ออกไป” ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งอาจจะเป็นแค่การออกไปกินข้าวในสวนหลังบ้าน, ออกไปแคมป์ในอุทยาน หรือ ออกไปกลางป่าที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลผู้คน เพื่อที่จะ “เชื่อมต่อ” กับธรรมชาติซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมของมนุษย์อีกครั้ง
ทุกครั้งที่ได้ออกไปอยู่ท่ามกลางป่าเขา ผมจะรู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสของผมสามารถรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวได้ดีขึ้น ผมได้ยินเสียงนกที่ร้องแผวเบามาจากยอดไม้ไกลๆ, รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านตัว, รู้สึกถึงความนุ่มนวลต่อเนื่องของกระแสน้ำในลำห้วย, แสงสว่างที่แฝงไปด้วยมนต์สเน่ห์ของแสงจันทร์ในคืนเต็มดวง, ความสดชื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของแสงแรกที่ส่องผ่านยอดไม้ลงมาในตอนเช้า ฯลฯ
Friluftsliv ที่ฝังรากลึกลงในวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศ Nordic นั้นทรงพลังถึงขนาดที่ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้มีกฎหมายคล้ายๆกันในเรื่อง “Freedom to Roam” ที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถเดินและตั้งแค้มป์ที่ไหนก็ได้ไม่ว่าที่ตรงนั้นจะเป็นที่ส่วนบุคคล, ป่าสงวน หรืออุทยาน ตราบใดที่ไม่เป็นการรบกวนผู้คนในพื้นที่และสัตว์ป่า
การออกไปสัมผัสธรรมชาติในรูปแบบนี้ยังไม่แพร่หลายนักในบ้านเรา แต่ผมอยากจะเชิญชวนให้คุณออกไปสัมผัสดูบ้าง การออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติโดยไม่ต้องมีความมุ่งหวังใดๆ ออกไปเพียงเพื่อที่จะอยู่ตรงนั้น
ผมเชื่อว่าถ้าคนสักส่วนหนึ่งได้ไปสัมผัสความรู้สึกนี้แล้วเราจะมาร่วมกันสร้างวัฒนธรรมกลางแจ้งขึ้นมาด้วยกัน และวัฒนธรรมกลางแจ้งนี้จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการกำหนดทิศทางของการอนุรักษ์ธรรมชาติของบ้านเราให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น
เพราะด้วยทิศทางของการ “อนุรักษ์” ในบ้านเราทุกวันนี้ นอกจากธรรมชาติจะหมดไปอย่างรวดเร็วแล้ว ยังดูเหมือนว่าเรากำลังถูกจำกัดพื้นที่และสิทธิในการออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว
ถ้าเราไม่ใช้, ไม่เห็นความสำคัญของสิทธินี้และไม่เรียกร้องสิ่งที่เราสมควรได้รับ มันก็คงจะหมดไปไม่มีเหลือ
ตาเกิ้น