ผมกุมมือของหญิงสาวไว้ราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อย

เราสบตากัน ผมจูบเธอเบาๆ เธอร้องไห้ ดึงมือออกจากมือผม เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไป
ผมนั่งเงียบอยู่คนเดียวในความมืดอีกเนิ่นนาน

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ผมออกเดินทางไกลเป็นครั้งแรกของชีวิต เป็นการเดินทางเพียงลำพังไปสู่อีกซีกโลกหนึ่ง ไปอยู่ในสังคมที่ผมไม่เคยรู้จัก พูดภาษาที่ผมฟังไม่ออกพูดไม่ได้ และต้องจากลาหญิงสาวที่ผมรักไปนานจนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตระหว่างเราสองคน
ในขณะที่ผมตื่นเต้นกับวัฒนธรรมใหม่ๆรอบตัว,ดิ้นรนกับภาษาที่พูดไม่ได้สักคำเมื่อแรกไปถึง, ปรับตัวให้เข้ากับมิตรสหายใหม่ๆที่ได้พบเจอ และพยายามเอาตัวรอดกับการเรียน แต่ทันทีที่ผมมีเวลาได้หยุดพักสงบกับตัวเอง ผมก็จะสัมผัสและเข้าใจถึงความรู้สึกที่เคยแต่จะอ่านในนวนิยาย นั่นคืออาการ “คิดถึงจนสุดหัวใจ”

ในยุคก่อนที่จะมี Internet หรือ Email และค่าโทรศัพท์ทางไกลก็แสนแพงเกินกว่าที่ผมจะสามารถจ่ายได้ สิ่งเดียวที่จะช่วยต่อความหวังและบรรเทาความคิดถึงของผมลงได้ก็คือ “จดหมาย”
เราเขียนจดหมายถึงกัน เล่าเรื่องราวที่ดำเนินไปของคนสองคนที่อยู่คนละซีกโลกเหมือนเส้นคู่ขนาน
ผมเฝ้ารอเปิดตู้จดหมายทุกวันด้วยความหวัง แต่ด้วยการเดินทางของจดหมายที่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 อาทิตย์หรือบางครั้งก็นานจนคาดเดาไม่ได้ ก็ทำให้ความหวังกลายเป็นการเฝ้ารอที่ยาวนาน

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเปิดตู้จดหมายผมก็พบกับห่อของเล็กๆที่ส่งมาจากเมืองไทย
ในห่อนั้นคือเทปคาสเซ็ท เมื่อเปิดฟังผมก็ได้ยินเสียงหญิงสาวที่ผมรักเป็นครั้งแรกหลังที่จากกันมากว่าครึ่งปี และยังมีอีกเพลงที่เธออัดมาให้ฟังอีกหลายเพลง
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น ตอนที่ผมเริ่มแอบชอบสาวคนนี้ ผมรู้มาว่าเธอชอบฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงฝรั่ง
ด้วยความที่เป็นคนเชยๆ ผมไม่เคยฟังเพลงอะไรเลย เพลงภาษาฝรั่งก็ฟังไม่ออกสักคำ ผมพยายามหัดฟังเพลงเพื่อจะได้มีเรื่องคุยกับเธอ
ผมฟังเทปคาสเซ็ทนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากเสียงเธอที่ยิ่งฟังยิ่งคิดถึงแล้วก็ยังมีเพลงเพลงหนึ่งที่ฟังแล้วฟังอีกจนเนื้อเพลงที่ผมเริ่มฟังเข้าใจซึมเข้าไปอยู่ในหัวใจผม และช่วยต่อความหวังให้ทุกครั้งที่ได้ฟัง
เพลงนั้นคือ Lover’s Moon ของ Glenn Frey
ข้อความท่อนหนึ่งของเพลงนั้นแปลจับความได้ว่า
“คืนนี้มีดวงจันทร์แห่งความรัก
ส่องแสงลงมาบนซีกโลกนี้
ผู้คนมากมายอยู่ใต้แสงจันทร์
แต่สำหรับผมแล้วมีเพียงหญิงสาวคนเดียวเท่านั้น
และเธอกำลังรอคอย
ผมรู้ว่าเธอกำลังรอคอย
ผมรู้ว่าเธอคอยผมอยู่
ภายใต้ดวงจันทร์แห่งความรัก”
ความคิดถึงและการรอคอยนั้นแม้ว่าจะทรมานและยาวนาน แต่มันก็ทำหน้าที่อย่างจริงใจที่จะพิสูจน์ความรักของคนสองคน
1 ปี 9 เดือน หลังจากที่เดินทางจากไป ผมก็ได้กลับมาพบกับหญิงสาวที่ผมรักและรอคอยผมมาตลอดช่วงเวลานั้น

เราแต่งงานกัน 2 ปีหลังจากนั้น ซึ่งวันนี้ครบรอบ 29 ปีพอดี เรามีลูกที่น่ารัก 2 คน มีครอบครัวที่อบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรักของเราทั้ง 4 คนตลอดมา คุ้มค่าทุกนาทีที่รอคอยครับ


ตาเกิ้น
15 พฤษภาคม 2564
อ่านตอนก่อนหน้านี้ได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ ตามลำดับเลยครับ