เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จู่ๆก็อยากขึ้นไปนอนบนดอยอ่างขาง แต่เป็นคนขับรถไม่เป็น เพื่อนร่วมทางก็ไม่กล้าขับรถขึ้นไป ทำยังไงดี ด้วยความที่อยากขึ้นดอยจริงๆก็เลยจ้างรถตู้พาพวกเราขึ้นไปส่งบนดอย พอไปส่งถึงบนดอยแล้วก็ให้รถตู้กลับลงเขาไปโดยนัดกันว่าอีกสองสัปดาห์คนขับรถตู้ค่อยขึ้นไปรับพวกเราลงจากดอยอีกที
เนื่องจากรู้ว่าการไปอยู่บนดอยโดยไม่มีรถนั้นมันไม่สะดวกและลำบากเวลาจะเดินทางไปที่ไหนๆบนดอย ก็เลยเอารถจักรยานพับได้ 24 speed ติดขึ้นไปกับรถตู้ด้วยหนึ่งคัน เอามันไปด้วยทั้งที่รู้ว่ารถจักรยานมันคงจะช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะทางบนดอยมันเป็นทางขึ้นเขาลงเขาแถมชันอีกต่างหาก
เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมเป็นช่วงหน้าฝน คนไม่ค่อยขึ้นไปเที่ยวดอยอ่างขางกัน แต่ผมกลับชอบเที่ยวดอยช่วงนี่แหล่ะ เพราะเป็นช่วงที่ต้นไม้บนดอยดูเขียวขจีสบายตา อากาศไม่หนาวจนเกินไปแต่ก็ไม่ร้อน การจองห้องพักก็ไม่มีปัญหา มีห้องพักว่างเยอะแยะ เลือกห้องพักที่ชอบได้ตามใจชอบ แถมได้ราคาที่พักถูกลงครึ่งหนึ่งอีกด้วย อาหารการกินก็ไม่ต้องไปแย่งกับใคร จะเห็นคนขึ้นมาเที่ยวบ้างก็ช่วงเสาร์อาฑิตย์ บนดอยช่วงนี้เลยค่อยข้างเงียบสงบ ต่างกับช่วงหน้าหนาวอย่างเทียบกันไม่ได้ สถานีเกษตรอ่างขางแทบจะกลายเป็นบ้านของผมคนเดียวไปเลย มันเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ
เนื่องจากเป็นช่วงหน้าฝน บนดอยเลยมีฝนตกเกือบทุกวันซึ่งมักจะเป็นช่วงเย็นๆค่ำๆ มีแค่บางวันที่ตกยาวเลยมาถึงเช้า อากาศเย็นสบายกำลังดี วันไหนฝนตกก็นั่งเล่นนอนเล่นฟังเสียงฝนตกก็มีความสุขได้บรรยากาศหน้าฝนดีนะ
สองสัปดาห์ที่อยู่บนดอยอ่างขาง พักที่บ้านพักในสถานีเกษตรอ่างขาง จะตื่นนอนตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้าทุกวัน พอประมาณหกโมงเช้าก็จะขี่จักรยานแบบทุลักทุเลขึ้นเขา 7 กม. ออกจากสถานีเกษตรอ่างขางเพื่อไปที่หมู่บ้านนอแลซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่า “ปะหร่อง” อยู่ตรงแนวเขตชายแดนไทย – พม่า
มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องขึ้นเขาที่ชันจะเหนื่อยที่สุด ปั่นจักรยานขึ้นเขาไม่ไหวก็ต้องลงจากจักรยานแล้วเดินเข็นจักรยานขึ้นเขา บางช่วงที่ชันมากๆก็เล่นเอาเหนื่อยหอบเสื้อผ้าเปียกชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ ดีที่ช่วงเช้าอากาศเย็นเลยพอสู้ไหว แต่มีหลายช่วงที่เป็นช่วงขึ้นเขาชัน ขี่ต่อไปไหวหรือแม้กระทั่งเข็นต่อไม่ไหวเพราะเหนื่อยและร้อน ต้องหยุดพักรอให้หายเหนื่อยและหายร้อน บางครั้งมีชาวเขาขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา เห็นสภาพที่ทุลักทุเลแบบหมดสภาพของผมแล้วแทนที่จะมีสีหน้าชื่นชม ดูเหมือนพวกเขาจะมองผมแบบสมเพชว่าบ้าหรือเปล่า
ถึงแม้มันจะเหนื่อยแสนเหนื่อย ถึงแม้ใครจะว่าบ้า แต่ผมก็ขี่และเข็นจักรยานไปที่หมู่บ้านนอแลทุกวัน (ยกเว้นวันที่มีฝนตกหนักตอนเช้า)
ทุกวันที่ไปถึงหมู่บ้านนอแลก็จะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงสองชั่วโมงอยู่ที่หมู่บ้านเพื่อถ่ายรูปวิถีชีวิตของคนที่นั่น พอสายๆหน่อยก็จะขี่…เอ้ย..เข็นจักรยานขึ้นเขาไปที่ไร่สตรอเบอรี่นอแล ไร่สตรอเบอรี่จะอยู่ก่อนถึงหมู่บ้านประมาณหนึ่งกม. พอไปถึงปากทางเข้าไร่สตรอเบอรี่ทีไรก็จะรู้สึกดีใจทุกครั้งเพราะจากตรงนี้ไม่ต้องเข็นจักรยานขึ้นเขาที่ชันอีกแล้ว จากปากทางเข้าไร่ต้องขี่จักรยานลุยโคลนเข้าไปอีกประมาณ 1.5 กม. บางช่วงพอขี่ได้ แต่บางช่วงต้องแบกจักรยานเดินลุยโคลนเข้าไปเพราะเป็นช่วงหน้าฝน ทางเข้าที่เป็นดินลูกรังเลยกลายเป็นโคลนเฉ่อะแช่ะไปหมด มันเป็นอะไรที่สนุกแล้วก็เหนื่อยดีจริงๆ คนที่ชอบอะไรที่ลุยๆคงจะชอบ
ไร่สตรอเบอรี่นอแลเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตสำหรับคนที่ขึ้นไปเที่ยวดอยอ่างขางช่วงเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม เพราะนอกจากจะมีสตรอเบอรี่ลูกโตๆออกลูกช่วงนั้นแล้ว นักท่องเที่ยวจะนิยมไปเที่ยว ถ่ายรูปและดื่มด่ำกับบรรยากาศของหุบเขาที่มีหมอกลอยในหุบเขาที่สวยงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเช้าที่แสงทองสาดส่องผ่านกลุ่มหมอกเข้ามาในหุบเขา
แต่พอผ่านเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้ว ที่นี่ก็จะเงียบเหงา เพราะที่นี่ปลูกสตรอเบอรี่เพียงปีละครั้ง หมอกที่เคยดูสวยงามในช่วงเดือนธันวาคมและมกราคมก็จะไม่ค่อยมีให้เห็นอีกแล้ว หรือถ้าวันไหนมีหมอกลงก็จะเป็นหมอกที่ไม่สวยหรือไม่ก็ลงหนาทึบจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น ไม่มีความสวยงามเหมือนในเดือนธันวาคมและมกราคมเหลืออยู่เลย
จนกระทั่งประมาณปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคม ชาวเขาบ้านนอแลจะเริ่มปลูกสตรอเบอรี่อีกครั้ง ที่ต้องเริ่มปลูกกันในช่วงนี้เพราะต้นสตรอเบอรี่จะได้โตออกลูกมาทันขายให้นักท่องเที่ยวประมาณเดือนธันวาคม มันเป็นวัฎจักรอย่างนี้ทุกปี
ขี่จักรยานลุยโคลนมาดูชาวเขาทำไร่สตรอเบอรี่ที่นี่ทุกวันจนชาวเขาทุกคนคุ้นเคยและจำหน้าได้ เวลาเข้าไปในหมู่บ้านก็จะยิ้มให้กัน ทักทายกัน การที่ได้มาดูชาวเขาปลูกสตรอเบอรี่ ได้เห็นว่าพวกเขาเตรียมดินเตรียมงานกันอย่างไร มีขบวนการในการปลูกสตรอเบอรี่อย่างไร
พวกเขาทำงานกันกลางแดดที่มีท้องฟ้าเป็นหลังคา เริ่มมาทำไร่กันตั้งแต่ประมาณแปดโมงครึ่ง ทุกอย่างใช้แรงงานคนทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ถางหญ้าที่ขึ้นรกหลังช่วงฤดุท่องเที่ยวจบลง แบกเอาหญ้าที่ถางเดินขึ้นเนินชันเพื่อเอาไปทิ้ง แบกต้นกล้าที่เพาะไว้ลงไปในไร่ แบกกระสอบปุ๋ย และสิ่งที่ใช้ในการปลูกต้นสตรอเบอรี่ลงเนินชัน แต่ละคนแข็งแรงมาก ทำให้รู้ว่ากว่าจะมีลูกสตรอเบอรี่ให้พวกเราทาน มันมาจากหยาดเหงื่อของขาวเขาจริงๆ
ได้มาใช้เวลาอยู่กับชาวเขามันช่างวิเศษสำหรับคนไม่มีงานทำอย่างผมจริงๆ แต่บางวันเข้าไปที่ไร่สตรอเบอรี่แล้วไม่มีชาวเขามาทำไร่กันเลยสักคน งงเหมือนกัน วันนั้นเลยมีผมนั่งอยู่ในหุบเขาไร่สตรอเบอรี่คนเดียว อยู่กับความเงียบและธรรมชาติ อยู่กับลมเย็นๆที่พัดเข้ามาในหุบเขา อยู่กับสายลมและแสงแดด บางครั้งก็มีหมอกลอยเข้ามาเพราะที่หุบเขาไร่สตรอเบอรี่และที่หมู่บ้านนอแลเป็นจุดที่เย็นที่สุดบนดอยอ่างขางเลยจึงมีหมอกและมีลมพัดแรงเป็นช่วงๆตลอดทั้งวัน สำหรับคนที่ชอบอยู่กับธรรมชาติและความเงียบสงบอย่างผม มันช่างเป็นช่วงเวลาที่วิเศษจริงๆ
มารู้เอาทีหลังว่าวันนั้นที่ไม่มีชาวเขาไปทำไร่ที่ไร่สตรอเบอรี่เลยสักคนก็เพราะว่าวันนั้นเป็นวันพระ มีคนบอกว่าถ้าวันไหนเป็นวันพระ ชาวเขาเผ่าปะหร่องทุกคนจะไม่ทำงาน พวกเขามีความเชื่อว่าถ้าใครทำงานและไม่ไปเข้าวัดในวันพระ คนคนนั้นจะไม่มีความเจริญ จะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง จะไม่มีความสุขในชีวิต ด้วยเหตุฉะนี้วันพระจึงเป็นวันหยุดที่ทุกคนจะทำบุญฟังเทศน์กันที่วัด ชาวเขาที่นี่นับถือศาสนาพุทธ
ใครที่มีโอกาศขึ้นไปบนดอยอ่างขางช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ลองแวะไปดูชาวเขาปลูกสตรอเบอรี่นะครับ
ในรูปข้างล่างนี้เป็นจักรยานคันเล็กๆที่ผมใช้ขี่ไปหมู่บ้านนอแลและไร่สตรอเบอรี่ทุกเช้า เห็นแล้วคงจะทึ่งกันเล็กน้อยนะครับว่าขี่มันไปได้อย่างไร
ส่วนที่เหลือจากนี้เป็นบางส่วนของรูปที่ผมถ่ายเอาไว้ครับ
รูปทุกรูปที่โพสที่ไว้นี้ ถ้าต้องการดูรูปที่ชัดในขนาด Original Size ให้กด Click ที่รูปที่ต้องการดูสองครั้งครับ